วันเสาร์, พฤศจิกายน 11, 2560

เฟซบุ๊กแฟนเพจ เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล โพสต์ตั้งคำถามชวนคิดถึงการออกมาวิ่งของ "ตูน บอดี้สแลม"





หมอเพจดังชวนคิด เรื่องที่ตูนไม่ได้พูด ถามเงินบัตรทองไม่เพิ่ม แต่กลับเอางบไปเทซื้ออาวุธ


10 พฤศจิกายน 2560
ข่าวสดออนไลน์


เฟซบุ๊กแฟนเพจ เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล โพสต์ตั้งคำถามชวนคิดถึงการออกมาวิ่งของ อาทิวราห์ คงมาลัย หรือ ตูน บอดี้สแลม นักร้องดัง อีกครั้ง หลังก่อนหน้านี้เสนอแนวทาง 10 ประการ เพื่อช่วย ตูน อีกแรง ปีต่อ ๆ ไป จะได้ไม่ต้องมาวิ่งให้เหนื่อยอีก โดยครั้งนี้ได้ออกมาตั้งคำถาม และชวนคิดถึงประเด็นที่มีคนพูดถึงกันน้อยมาก หรือแม้แต่ ตูน ก็ยังไม่พูดในเรื่องนี้ นั้นคือเรื่องปัญหาหลักของสาธารณสุขไทย โดยมี 2 ข้อใหญ่ๆ คือ เงินไม่พอ กับ กระจายเงินไม่ดี โดยข้อความระบุว่า





#ตูนไม่ได้พูด
#แต่ผมต้องพูดและอยากชวนทุกคนพูด
.
ตามข่าวการวิ่งเป็นระยะ
มีภาพประทับใจมากมาย
มีคำพูดจาก ตูน ที่น่าจดจำมากมาย
.
แต่ยังคงมีสิ่งหนึ่งที่มีคนพูดถึงน้อยเกินไป
นั่นคือ การแก้ปัญหาในระยะยาว
ขอไล่ไปเป็นข้อ ๆ
.
1. ส่วนตัวไม่เชื่อว่า จะมีใครที่จะคิดว่า
ตูน วิ่งรับบริจาคแล้ว ปัญหาขาดแคลน
ด้านสาธารณสุขจะหมดไป
เหมือนที่ใครหลาย ๆ คน
พยายามจะบอกว่า
คนที่เชียร์ตูนคิดตื้น ๆ แบบนั้น
หรือ ไม่คิดอะไรเลย
.
2. ตูนก็บอกเองว่า
ไม่อยากจะพูดถึงสาเหตุว่า
ปัญหา อยู่ที่ไหน
แต่ขอทำสิ่งที่ตัวเองทำได้
.
3. ส่วนตัว(อีกที) เข้าใจเลย
เพราะ ขนาดตัวเองนี่กำลังจะพิมพ์
ว่าปัญหาอยู่ที่ไหน ยังรู้สึกว่ายากที่จะเรียบเรียงออกมา
ขนาดที่คิดว่า ตัวเองอยู่กับหน้างาน
รู้ข้อมูลอยู่ไม่น้อยนะ
แต่ มันมีหลายแง่ หลายมุมเหลือเกิน
.
4. ปัญหามันซับซ้อน พอสมควร
ถ้าผมเป็น ตูน – นักร้องคนหนึ่ง
ที่อยากจะช่วยเรื่องนี้
ก็คงคิดคล้าย ๆ กัน คือ ป่วยการจะพูด
และถ้าเริ่มพูดเมื่อไหร่ …
ข้อแย้ง คนสนับสนุน
เสียงเชียร์ เสียงค้าน เสียงปรบมือ
เสียงโห่ เสียงให้กำลังใจ
จะตามมาเป็นพายุแน่นอน
(ซึ่งสำหรับโพสต์นี้ ผมก็เตรียมใจ
ที่จะเจอพายุเช่นกัน)
.
แล้ว การวิ่ง จะกลายเป็นเรื่องด้อยไป
หรือ การโฟกัส กับการวิ่ง คงยากไปอีก
.
5. สรุปว่า ผมเข้าใจว่า ทำไม ตูน
เลือกที่จะไม่พูด
.
6. จากข้อ 1-5 จึงเกิดเป็นผลตามมาว่า
มันก็เป็นหน้าที่ของผม
– หมอ คนหนึ่ง สิที่จะต้องพูด
เพราะไม่เห็นมีใครพูด
(ปชช. คนทั่วไป ย่อมไม่มีข้อมูลพอ
ที่จะช่วยคิดได้ – นั่นไม่แปลกที่จะเงียบ
แต่ กระทรวง, หรือ รัฐบาล
ก็พลอยเงียบ-ไม่สิเอาแต่เชียร์ไปด้วย
นี่ผมก็งง แทนที่จะอาศัยเรื่องนี้
สร้างความเข้าใจ กับปัญหาในระบบ
หรือ สร้างกระแสให้สังคม
ช่วยกันคิด … นี่.. ไม่เห็นเลย)
.
ถ้าผมไม่พูดก็แสดงว่า คิดตื้น ๆ อย่างเขาว่า
ถ้าไม่พูดก็จะเป็นอย่างที่บางคน
บอกว่า เชียร์ จนไม่คิดอะไร
.
เพราะงั้นเลยต้อง พูด
ใครอ่านแล้วอยากจะพูดด้วย
ก็คุยกันได้เลย
ใครอ่านแล้ว เห็นด้วย
อยากจะพูดต่อ ก็เชิญแชร์ไปพูดแทนได้
เพราะส่วนตัวผมเห็นว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่
ใหญ่จนเป็นหน้าที่ของ
ประชาชน ทุกคนที่จะช่วยกันคิด




.
เกริ่นตั้งนาน เข้าเรื่ิองเลยล่ะกัน
.
ปัญหาสาธารณสุขหลัก ๆ ของไทย
มีสองข้อใหญ่ คือ
1. เงินไม่พอ
2. กระจายเงินไม่ดี
.
#เงินไม่พอ
งบด้านสาธาฯ ของเรา
คิดเป็น 4% ของ GDP
(เงินทุกภาคส่วน ไม่ต้องแยกบัตรทอง ขรก.)
ในขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้ว อยู่ที่ 8 – 10%
ตรงไปตรงมานะครับ ห่างกันเท่าตัว
เราจะหวังคุณภาพเท่าเขาได้ไหม ?
.
– งบทั้งหมดหลัก 100,000 ล้าน
700 ล้านของตูน เทียบกันแล้ว
ก็เป็นแค่น้ำหนึ่งแก้ว
เทลงในถังแกลลอน เท่านั้น
ช่วยได้แน่นอน แต่เมื่อเทียบกับระดับ
งบประมาณแสนล้าน ก็ได้เท่านั้นจริง ๆ
.
– นี่ยังไม่พูดถึงว่า เงินจากการวิ่งนี้
ได้แค่ปีนี้ปีเดียวนะ
.
– เงินไม่พอ จะทำไงให้เพิ่มขึ้น
นี่แหละป็นสิ่งที่ เราต้องพูด คุยกัน
และ ถกเถียงกัน
เรื่องสุขภาพมันสำคัญมากหรือน้อยแค่ไหน
ในสายตาของพวกเราคนไทยทุกคน ?
สำคัญมากพอที่จะ ลงทุน ไหม ?
.
– ลงทุน ? ใช่ครับ
สำหรับหลายคนมองค่าใช้จ่ายด้านนี้เหมือนเป็นสวัสดิการที่สูญเปล่า
.
แต่สำหรับผม เห็นว่ามันเป็นการลงทุน
กับคนในสังคม การรักษาที่ดีขึ้น
ช่วยให้คนป่วยบางโรค เช่น HIV
ใครป่วยก็ต้องเป็นภาระ ให้ครอบครัว
ทำงานก็ไม่ได้ ป่วยกระเสาะกระแสะ
กลายเป็นรักษาได้ผลขึ้น
แข็งแรง ทำงานได้
เป็นกำลังในครอบครัว
รวมไปถึงสร้างงาน
สร้างผลผลิตทางเศรษฐกิจได้ด้วยซ้ำไป
.
– สำหรับผมเรื่องนี้สำคัญมากพอ
มากพอที่เราจะต้องหาเงิน
มาเพิ่มให้กับระบบ
หาจากไหน ?

1.เงินเรามีอยู่แล้ว
แต่บริหารจัดสรรงบประมาณ
และให้ความสำคัญกับเรื่องนี้น้อยเกินไป
งบบัตรทองไม่เพิ่ม หรือ เพิ่มแต่น้อยนิด
ในขณะที่งบกลาโหม
งบกองทัพ กลับเทลงไป
.
จุดนี้ ต้องบอกว่า
ผมก็อ่านมาพอสมควร
เกี่ยวกับ ความเห็นเรื่อง อาวุธ ต่าง ๆ
จำเป็นอย่างนู้น อย่างนี้ ไม่ใช่ไม่ฟังนะ
.
แต่ ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง
ขอยืนยัน นอนยันว่า ฟังไม่ขึ้นเลย
เป็นไอเดียที่ผมไม่ซื้อ
.
ใครเห็นว่า การซื้ออาวุธมันสำคัญ
ก็ไม่ว่ากันนะครับ
เป็นสิทธิเช่นกัน แต่คนไม่เห็นค่า
ก็ต้องยืนขึ้นมาพูดเหมือนกันว่า
“ไม่เอาครับ”
.
หรือ ใครเห็นว่ามีงบอื่น
ที่ดูไร้ประโยชน์มากกว่า งบซื้ออาวุธ
ก็แชร์ความเห็นกันได้ครับ
.
2. ร่วมจ่าย
เงินไม่พอ ให้คนไข้บัตรทอง “ร่วมจ่าย” ดีไหม
จะได้มีเงินมากขึ้น หลาย ๆ คนก็เสนอวิธีนี้
.
ร่วมจ่ายมีหลายแบบ
2.1. จ่ายเมื่อป่วย ถ้าจะจ่ายแบบนี้
เพื่อให้เงินในระบบมากขึ้น – ย้ำตรงนี้นะ
ต้องเก็บเงินราว ๆ 30% เป็นอย่างน้อย
จึงจะได้เม็ดเงินมากพอ
.
ไหนจะตัดเด็ก คนสูงอายุ คนพิการ
จริง ๆ ถ้าจะได้มากพออาจจะต้อง
เก็บถึง 50% ของค่าใช้จ่ายจริง
.
.
2.2. จ่ายทางอ้อม จ่ายก่อนป่วย
นั่นคือการตั้งกองทุนเพิ่มขึ้น
จ่ายเงินเข้ากองทุน คล้าย ๆ ประกันสังคม
หรือ จ่ายทางอ้อมผ่านทางภาษี
ที่จะระบุเฉพาะไปเลยว่า
เป็น ภาษีด้านสาธารณสุข
.
หรือ อย่างภาษี เหล้า บุหรี่
ที่เก็บเฉพาะเข้า สสส.
จะมาเพิ่มให้ระบบสาธาฯ ได้บ้างไหม
.
.
.
หรือ จะผสมทั้งสองแบบก็ได้
เรียกว่าอะไรดี
2.3. คือหาภาษีมาเพิ่มเป็นหลัก
แล้วคนไข้จ่ายให้รู้ว่าไม่มีอะไรฟรี
แต่การจ่ายเมื่อป่วย
จะเพียงแค่ 5% ของค่าใช้จ่าย
หรือ จ่ายตายตัวก็ได้
เช่น จ่ายครั้งละ 100 บาท กรณีผู้ป่วยนอก
หรือ นอน รพ. จ่าย 10% จากค่าใช้จ่าย
แต่ไม่เกิน 500 บาท/ครั้ง เป็นต้น
.
ใครที่คิดว่าระบบเดิม
ที่ไม่ต้องจ่ายอะไรเลย หรือจ่ายแค่ 30
แล้วทำให้ มีคนมาใช้โดยไม่จำเป็น
หรือ ทำให้คนไข้ไม่ดูแลตัวเอง
ก็อาจจะเห็นด้วยกับวิธีนี้
(จริง ๆ เรื่องนี้ ผมไม่ค่อยเห็นด้วย
อย่างที่คนพูดว่า บัตรทอง
ทำให้คนเราดูแลตัวเองน้อยลง
ผมไม่ค่อยเชื่อนะครับ
อย่างที่โพสต์บทความเมื่อวานเย็น
แต่เผื่อไว้ เป็นทางสายกลาง…)
.
.
ทั้งสามแบบ ก็ลองคิดกันดูว่า
แบบไหนจะดีกว่ากัน
(คิดก่อนแล้วค่อยอ่านต่อ…)
.
.
.
ผมคิดว่า แบบที่สอง ดีที่สุด
เพราะแบบแรก ผลกระทบมากเกินไป
30-50% นี่ คนส่วนหนึ่ง
จะกระเด็นจากระบบไปเลย
เพราะจ่ายไม่ไหว หายาชุดถูก ๆ กินดีกว่า
หรือคนจ่ายได้ แต่เจอโรคหนัก ๆ ไปที
จากไม่จน ก็เป็นคนจนได้ในชั่วข้ามคืนนะ
.
.
.
พูดแล้วย้าวยาว
แต่อย่างที่บอก ตูนไม่ได้พูด
เราน่าจะช่วยกันพูดนะครับ
ส่งเสียงเชียร์ตูนวิ่ง
และ ส่งเสียงเพื่อความเปลี่ยนแปลง
ไปพร้อม ๆ กัน
นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่เราทำได้มากกว่า ตูน
เราต้องช่วยเขาครับ
ป.ล. อ่านมาจนจบ เห็นว่ายังไม่ได้พูดถึง
เรื่องการกระจายเงิน กระจายหมอเลย
ไว้เขียนอีกทีเมื่อมีโอกาสนะครับ


อ่านข่าวเก่า เพจดังเสนอแนวคิด 10 ข้อ ให้คนไทยทำ ช่วย “ตูน บอดี้สแลม” ไม่ต้องมาวิ่งอีกปีหน้า