วันเสาร์, ตุลาคม 14, 2560

อินไซด์คุกการเมือง :บันทึกนักโทษคดีการเมือง ตอนที่ 6

บันทึกนักโทษคดีการเมือง ตอนที่ 6 :อินไซด์คุกการเมือง

เมื่อย่างเข้าสู่ประตูคุก เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครวันแรกนั้น เขาจะพาไปส่งที่แดนแรกรับซะก่อน เรียกว่าแดน1

ตรงหน้าแดน เปิดประตูเข้าไปด้านขวามือจะเป็นออฟฟิศเล็กๆ สำหรับเจ้าหน้าที่ผู้คุม ซึ่งก็มีอยู่ไม่กี่คนหรอก แต่ทางผู้คุมจะตั้งนักโทษมาช่วยงานกันเพียบ เรียกว่าให้นักโทษคุมนักโทษด้วยกันซะมากกว่า

เดินผ่านออฟฟิศผู้คุมเข้าไป จะมีลานกว้างประมาณสนามบาสเก็ตบอล เอาไว้เป็นที่รวมพลเคารพธงชาติ สวดมนต์ไหว้พระ ฟังหัวหน้าผู้คุมอบรมทุกเช้า ที่เหลือก็เอาไว้เป็นสนามฟุตบอล และนักโทษกระเทยขอแบ่งไปเล่นวอลเลย์บอลบ้าง

เลยลานโล่งเข้าไปเป็นเรือนนอนไม้ขนาด 2 ชั้น ชั้นแรกเอาไว้รับบรรดานักโทษที่เข้ามาใหม่ห้องหนึ่ง เอาไว้รับนักโทษที่เดินทางออกไปศาลเพื่อพิจารณาคดีและกลับมาตอนค่ำอีกห้อง ส่วนอีกห้องเอาไว้รองรับนักโทษที่ชราภาพและพิการ แต่หลังๆ ก็ค่อยๆ กลายร่างมาเป็นห้องขังสำหรับนักโทษ VIP และมีห้องขังเดี่ยวสำหรับนักโทษที่แสบๆ ทั้งหลาย ส่วนใหญ่ก่อเหตุทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกายกัน พอโดนซ่อมมาหนักๆ แล้วก็เอามาขังเดี่ยว

ชั้นสองจะแยกเป็นห้องนอนฝั่งซ้ายฝั่งขวาหลายสิบห้อง ส่วนพื้นที่ตรงกลางเราเรียกมันให้ดูดีขึ้นมาว่า "สายกลาง" ก็เอาไว้เป็นที่นอนเหมือนกัน

บนสวรรค์ก็มีหลายชั้น ในนรกมีหลายขุม ในคุกก็มีเกรดเช่นกัน ใครเข้าคุกมาแล้วได้อยู่แดนหนึ่งยาวไปเลย แสดงว่าคุณเป็น VIP ไม่ต้องโดนจำแนกแยกย้ายให้ไปอยู่แดนอื่นๆ ตั้งแต่แดน 2 ไปถึงแดน 8

และในแดนหนึ่งเอง หากใครได้พักได้ที่นอนที่ชั้นล่างก็ถือว่าคุณเป็น Super VIP มีศัพท์แสงเรียกกันว่าเป็น "สมเด็จ" หากไม่ถึงขั้นนี้ก็ต้องขึ้นไปนอนชั้น 2 และในชั้นสองเองก็มีพื้นที่หวงห้ามสำหรับบรรดาขาใหญ่ที่ขีดเส้นแดงไว้เลยว่า ห้ามใครเข้าไปยุ่มย่ามหรือขยับตีนล้ำเส้นเข้าไป ไม่งั้นโดน

ที่ชั้นล่างยังมีบริเวณที่เป็น "กองงาน" อีกด้วย โดยให้เหตุผลว่าเพื่อฝึกฝนให้นักโทษได้ฝึกหัดอาชีพ เมื่อพ้นโทษไปแล้วจะได้มีวิชาชีพติดตัว ไม่ก่อคดีกลับเข้าคุกใหม่ โดยกองงานพวกนี้ก็จะมีตั้งแต่พับถุงกระดาษสำหรับร้านกาแฟโบราณ ไปยังถุงกระดาษแบรนด์เนมที่ใช้กันในห้างสรรพสินค้าหรูๆ หรือถุงกระดาษสวยๆทั้งหลาย กองงานไม้จิ้มฟัน คือเอาไม้จิ้มฟันใส่ลงไปในกล่องพลาสติก กองงานเย็บรองเท้า กองงานช่างไม้ กองงานกระดาษเงินกระดาษทอง กองงานปลั๊กไฟฟ้าสามตา แม้กระทั่งกองงานเอาสติ๊กเกอร์รายชื่อแปะซองจดหมายสำหรับธุรกิจร้านค้าต่างๆ ที่ทำการตลาดผ่านจดหมาย

พูดง่ายๆ ว่าคนที่อยู่โลกภายนอกถึงจะรังเกียจเดียดฉันท์คนคุกอย่างพวกเราเพียงไร แต่พวกคุณไม่รู้หรอกว่าเราอยู่ใกล้ชิดกันขนาดไหนในแต่ละวัน 

ตื่นเช้ามาถ้าคุณควานหามือถือสมาร์ตโฟนที่เสียบชาร์จไฟกับปลั๊กสามตาอยู่ แล้วเอากระดาษเงินกระดาษทองเผาส่งให้บรรพบุรุษ ถ้าคุณสวมรองเท้าแตะสวยๆ แต่ราคาถูก คุณกินข่้าวเสร็จคว้าไม้จิ้มฟันมันก็ฝีมือพวกเรา

คุณไปเดินห้างช็อปปิ้ง คนขายหยิบใส่ถุงกระดาษสวยๆ ให้คุณหิ้วกลับบ้าน ถุงทุกใบมาจาก "ข้างในคุก"
คุณแวะซื้อกาแฟโบราณและกาแฟมีแบรนด์ เขาใส่ถุงกระดาษสวยๆ นั่นก็ฝีมือเรา  

...ก่อนจะนอนคุณเสียบสายชาร์จกับปลั๊กสามตา นั่นหละฝีมือพวกเรา สรุปว่าตั้งแต่ลืมตาไปยันเข้านอน เราอยู่ใกล้กันมากกว่าที่คุณๆ คิด

ระหว่างคุณขับรถไปตามท้องถนนหากมองไปข้างถนนซักหน่อย เจอคนใส่ชุดสีน้ำเงินมอๆ สกปรกมอมแมมกำลังล้วงท่อล้างท่อน้ำเสี่ยเพื่อไม่ให้น้ำท่วมจากขยะอุดตัน นั่นคือพวกเราทั้งสิ้น...

งานที่คุุณๆ อาจส่ายหน้าเพราะความเหม็นเน่าน่ารังเกียจนั้น พวกเราต้อง "เบียดแย่งกัน" เพื่อมาทำนะครับ เพราะได้ส่วนลดวันต้องโทษในคุกให้พวกเราได้รับอิสรภาพไวขึ้น

สำหรับผมเองนั้นเลือกกองงานห้องสมุดครับ ตั้งแต่เช้าตื่นขึ้นมาก็มาประจำอยู่ห้องสมุด ไปยันบ่ายสามโมงที่ทางผู้คุมต้อนเข้าเรือนนอน

ในบรรดากองงานทั้งหลายนั้น กองงานห้องสมุดถูกมองว่าเป็นงานสบายที่สุด ไม่ต้องใช้แรงงานหนัก มีโต๊ะส่วนตัวเอาไว้นั่งกินข้าวกินกาแฟสนทนากัน เป็นที่สำหรับ VIP อย่างแท้จริง

ทั้งนี้ผมก็ต้องขอบคุณรุ่นพี่ที่อยู่มาก่อนและปักหลักยึดกองงานห้องสมุดเอาไว้ คือคุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข เมื่อมีนักโทษการเมืองเข้ามา คุณสมยศก็จะเชื้อเชิญให้มาประจำการที่ห้องสมุด ไม่ว่าจะเป็นคุณเจ๋ง ดอกจิก, ทอม ดันดี,จ่ าประสิทธิ์, บก.ลายจุด คุณสมบัติ บุญงามอนงค์ ในชั้นหลังก็มีหมอเลี้ยบ คุณอริสมันตร์ และคุณตู่จตุพรเข้ามาสมทบ

ตอนหลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 นั้น ผมเป็นนักโทษคดีการเมืองคนแรกๆ ที่เข้าไปพร้อมจ่าประสิทธิ์ จากนั้นก็ตามมาด้วยทอม ดันดี บก.ลายจุด นักศึกษาธรรมศาสตร์ นักศึกษาม.ขอนแก่น นักศึกษาม.เทคโนโลยีมหานคร คนผลิตคลิปเสียงคธาวุธนายแน่มาก กวีออนไลน์ทางเวปไซต์รุ่งศิลา

คนกลุ่มนี้เรียกกันรวมๆ ว่าเป็นพวกต้องโทษคดีการเมือง โดนมาตรา 112 และมาตรา 116 คือต่อต้านการรัฐประหารของคสช.

ส่วนอีกพวกเป็นคดีถูกกล่าวหาว่าใช้อาวุธสังหารผู้อื่น เช่น คดีกลุ่มที่ถูกกล่าวหาว่าใช้เอ็ม 79 ยิงใส่ม็อบ กปปส. กลุ่มที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นชายชุดดำสังหารพันเอกร่มเกล้ากับทหาร รายที่ถูกกล่าวหาว่ายิงสังหารคนของ กปปส.ที่ไปคัดค้านการเปิดหน่วยเลือกตั้งที่สมุทรปราการเมื่อต้นปี 2557

ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักโทษการเมือง หรือกลุ่มที่ถูกข้อหาเรื่องการใช้อาวุธ ผมก็ยอมรับตรงๆ ว่าไม่เคยรู็จักใครเป็นการส่วนตัวมาก่อนเลย ผมรู้จักเป็นการส่วนตัวอยู่แค่รายเดียวคือ บก.ลายจุด นอกจากนั้นก็ต่างคนต่างมา

การที่คณะรัฐประหารพยายามพล็อตเรื่องว่าขบวนการเสื้อแดงมีใครซักคนเป็นหัวโจก เป็นมาสเตอร์มายด์ มีฝ่ายทำงานทางความคิดเรื่องจะเปลี่ยนแปลงการปกครองบ้านเมืองไปเป็นระบอบอื่น จะล้มล้างสถาบันสำคัญๆ มีฝ่ายเผยแพร่ความคิดแบบผมหรือพวกทำสื่อออนไลน์ และมีฝ่ายติดอาวุธครบครันนั้น..ผมว่าจะมโนมากไปอยู่หน่อย

คือหากไม่เกิดรัฐประหาร 22 พฤษภา 2557 ขึ้น ไม่มีการกวาดล้างและกวาดต้อนมาเข้าคุก ผมว่าทั้งชาตินี้ก็คงไม่มีโอกาสได้เจอหน้าค่าตาหรือได้รู้จักกันหรอก

ขบวนการที่เรียกกันหยาบๆ รวมๆ ว่า "เสื้อแดง" นั้นมันไม่เคยมีองค์กรหรือ Organization กันเป็นเรื่องเป็นราว ถ้าไม่นับรวม นปช.ที่มีตู่ จตุพรเป็นประธาน มีณัฐวุฒิ หมอเหวง อาจารย์ธิดา กับนายหัววีระเป็นแกนนำ พวกนี้ก็จะมีบทบาทเฉพาะตอนจัดการชุมนุม

ในเมื่อไม่มี Organization ไม่มีมาสเตอร์มายด์ (หรือศูนย์รวมจิตใจ) ก็ไม่มีอุดมการณ์ที่ตรงกัน แต่คงมีอะไรร่วมกันได้แบบหลวมๆ

พูดง่ายๆ ว่าขบวนที่เรียกว่าเสื้อแดง หรือขบวนประชาธิปไตยในประเทศนั้นว่ากันตรงๆ คือ "ไม่เป็นขบวน" หรือ "ไม่ได้มีขบวน" ต่างไปจากขบวนพรรคคอมนิสต์ประเทศไทย ขบวนเรียกร้องประชาธิปไตยในพม่า ขบวนการต่อสู้เพื่อสิทธิของคนผิวดำในแอฟริกาใต้ของแมนเดล่า...

ไม่มีองค์กร ไม่มีการจัดตั้ง ไม่มีระเบียบวินัย มีแต่คนนำแต่ไม่มีใครตาม ถ้าจะตามก็เป็นการรวมการเฉพาะกิจอย่างการชุมนุมใหญ่

เอาง่ายๆ อย่างทีมของเราทำสื่อออนไลน์ไทยอีนิวส์ เราก็ไม่เคยต้องรับคำสั่งจากใคร หรือมีธงนำจากใคร หรือการชี้นำจากใครว่าต้องไปทางไหน จะนำขบวนไปสู่ทิศทางใด นอกจากภาพใหญ่ๆ คือต่อต้านรัฐประหาร คัดค้านเผด็จการทหาร ต่อต้านการขบวนที่ต่อต้านประชาธิปไตย สนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตย...

เป้าหมายของขบวนการเสื้อแดงคืออะไร ก็คงตอบได้คร่าวๆ ว่าเพื่อประชาธิปไตย แต่คำว่าประชาธิปไตยของแต่ละคนในขบวนนั้นมันไม่เคยเหมือนกันเลย

ถ้านับเสื้อแดงเป็นเฉดสีแล้ว ฝั่งขวาสุดคงจะแดงระเรื่อออกไปทางชมพูหรือส้มๆ ไม่ถึงกับแดงมาก...ประชาธิปไตยของคนพวกนี้หมายความว่า ขอยืนหยัดสนับสนุนให้ทักษิณ ชินวัตร หรือวงศ์วานว่านเครือของทักษิณได้เป็นรัฐบาล

เพราะเขาเห็นว่าทักษิณมีผลงานเป็นประโยชน์กับพวกเขา ที่บ้านเมืองและฝ่ายปฏิปักษ์บดขยี้ทักษิณนั้นถือว่าไม่เป็นธรรม พวกเขาต้องต่อสู้เพื่อให้ทักษิณได้รับความเป็นธรรม...ถ้าทักษิณได้รับความเป็นธรรม พวกเขาก็ย่อมได้รับความเป็นธรรมด้วย เพราะพวกเขาสนับสนุนและโหวตเสียงเลือกตั้งให้ทักษิณกับพวกทักษิณ

คนเหล่านี้น่าจะเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่สุดในขบวนการที่เรียกกันว่า เสื้อแดง (หรือจะไปใส่เสื้อสีอะไรก็ได้ ถ้าเป็นทักษิณก็คงจะเอาด้วยทั้งนั้น)

ถัดมาตรงกลางๆ หน่อย ก็น่าจะสีแดงพอประมาณ ราวๆ แดงชาด พวกนี้เป็นปัญญาชน นักวิชาการ นักกิจกรรม นักเคลื่อนไหว แอคทิวิสต์ นักศึกษา รวมทั้งพวกที่เคยเรียกตัวเองว่า "2 ไม่เอา" (ไม่เอารัฐประหาร และไม่เอาทักษิณ) ที่ต้องการเรียกร้องประชาธิปไตย ทัดทานคัดค้านเผด็จการทหาร ต่อต้านขบวนที่ไม่เป็นประชาธิปไตย มีความเห็นอกเห็นใจบรรดาผู้สนับสนุนทักษิณโดยพื้นฐานว่า คนเหล่านี้เป็นเสียงส่วนใหญ่ที่โหวตเลือกตั้งรัฐบาลของตนเอง แต่ถูกอีกฝ่ายบดขยี้ด้วยอำนาจปืน อำนาจศาล และอำนาจนำ...

แต่คนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้เอออวยไปกับทักษิณและพวก (พรรคการเมืองของทักษิณ และองค์กรมวลชนของทักษิณ คือ นปช.) ซะทุกเรื่อง หลายเรื่องก็ออกมาคัดค้านอย่างหนักมาก เช่น การออกกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย เป็นอาทิ
ผมคงจัดอยู่ในประเภทนี้...

ถัดไปทางฝั่งซ้าย เป็นพวกเสื้อแดงที่ไม่คิดว่าหนทางประชาธิปไตยอย่างเดียวจะเพียงพอสำหรับประเทศไทย ต้องไปไกลกว่านั้น พวกเขาเรียกตัวเองว่า พวกเปลี่ยนระบอบบ้าง พวกสหพันธรัฐไทยบ้าง พวกแดงใต้ดินบ้าง หรือบางทีคนก็เรียกพวกเขาว่า แดงมโนบ้าง...

คนกลุ่มนี้บอกว่าพวกเขาเป็นแดงก้าวหน้า แต่ความเคลื่อนไหวของพวกเขาหลายครั้งบางหนก็เป็นผลเสียต่อขบวนไม่น้อย เพราะฝ่ายตรงข้ามเอาไปเหมารวมว่าพวกเสื้อแดงทั้งหมดนั้นต้องการ "เปลี่ยนระบอบและล้มเจ้า"

พวกอยู่ซ้ายสุด คือพวกที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นกองกำลังติดอาวุธ พวกเขาอาจจะเริ่มจากการเป็นการ์ดรักษาความปลอดภัยในที่ชุมนุม และเนื่องจากขาดจัดตั้งที่ดี ขาดวินัย ขาดผู้นำที่ประเมินผลได้ผลเสียทางการเมือง จึงอาจแปรความขมขื่นคับแค้นไปเป็นการใช้อาวุธในทางที่ก่อปัญหาตามมา...

เพราะการกวาดล้างจับกุมหลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 นั้นฝ่ายคณะรัฐประหารสามารถนำมาเป็นหลักฐานปรักปรำขบวนฝ่ายประชาธิปไตยว่า มีกองกำลังติดอาวุธ ใช้อาวุธสังหารผู้ชุมนุมของ กปปส. และพันเอกร่มเกล้ากับทหาร โดยมีแนวคิดเปลี่ยนระบอบ และเป็นพวกล้มเจ้า!
...

พวกที่ถูกกวาดจับกวาดล้างหลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 นั้นมีอยู่ 2 ประเภทหลักในสายตา (หรือปรักปรำ) ของคณะรัฐประหาร คือพวกกองกำลังชายชุดดำติดอาวุธ กับพวกเปลี่ยนระบอบล้มเจ้า

ผมเองนั้นได้รับเกียรติถูก ปรักปรำให้เป็นคนพวกหลังนี้...ซึ่งว่ากันตามจริง เอาผมไปฆ่าให้ตายผมก็จะบอกว่าไม่ใช่ แต่ผมเป็นแอคทิวิสต์ที่เรียกร้องเคลื่อนไหวรณรงค์ประชาธิปไตย

ประชาธิปไตยที่ง่ายๆ ตามนิยาม "ของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน" นี่แหละ เหมือนๆสหรัฐอเมริกา เหมือนยุโรป เหมือนประเทศประชาธิปไตยเขาเป็นกัน ไม่มีอะไรยุ่งยากซับซ้อนไปกว่านี้
....

ในระยะหลังที่ผมอยู่คุกนานเข้า ก็มีทะลักเข้ามาอีกชุดใหญ่ พวกนี้ไม่ใช่กองกำลังติดอาวุธ ไม่ใช่นักโทษการเมืองที่รณรงค์ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอะไรทั้งสิ้น...แต่เรียกรวมๆ ว่าพวก "แอบอ้าง"

คนเหล่านี้ก็อาทิ หมอหยอง, บิ๊กกิ๊ก-พลตำรวจโทพงศ์พัฒน์, ญาติพี่น้องของอดีตบุคคลระดับ VIP เป็นอาทิ
...

ถ้าจะว่าพวกนักโทษคดีการเมือง และพวกชายชุดดำโดนมาหนักแล้ว คนกลุ่มหลังสุดที่โดนมาตรา 112 ฐาน "แอบอ้าง" น่าจะโดนหนักยิ่งกว่า...