วันพฤหัสบดี, กันยายน 25, 2557

เมื่อ'ปี๊บ'ใกล้จุดล้ำเส้น


ที่มาของเรื่อง ไทยรัฐออนไลน์
โดย ทีมข่าวการเมือง

“ปี๊บ” จะกลายเป็นยุทธภัณฑ์ต้องห้ามหรือไม่

ตามรูปการณ์ที่กระแสลุกลามอย่างรวดเร็วและทรงพลัง เริ่มตั้งแต่ต้นตำรับอย่างนายสุกรี เจริญสุข คณบดีวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ใช้ “ปี๊บ” เป็นมุกเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์

กดดันจนสภามหาวิทยาลัยมหิดลลงมติให้ นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน ต้องเลิก

ถ่างขาควบเก้าอี้ รมว.สาธารณสุข และอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล

คนมองลึกไปถึงเกมกระทบชิ่งสูตรถ่างขาควบของรัฐบาล คสช.

ก่อนที่จะลามถึงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายวิโรจน์ อาลี อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ลูกแม่โดม ใช้ปี๊บคลุมหัวเพื่อแสดงออกถึงเสรีภาพทางวิชาการที่ถูกทหารคุกคาม

เรียกร้องความรับผิดชอบของนายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ และอีกสถานะหนึ่งก็เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แสดงจุดยืนให้ชัดเจนกรณีที่อาจารย์และนักศึกษาถูกควบคุมตัวในงานเสวนาห้องเรียนประชาธิปไตย

ล่าสุดไปไกลถึงเชียงใหม่ ตามจังหวะที่นายสมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ออกเปิดโปรแกรมล่วงหน้า ขณะนี้คณาจารย์ของมหาวิทยาลัยได้หารือร่วมกันว่าจะจัดเสวนาหัวข้อ “ปี๊บ” ภายในสัปดาห์นี้

เพื่อแสดงออกว่า เสรีภาพทางวิชาการมีความสำคัญ

ตอกย้ำกันชัดเจนเลยว่า ปี๊บถือเป็นจุดริเริ่มที่ดีที่ทำให้แวดวงนักวิชาการมหาวิทยาลัยผู้ชอบเข้าไปมีบทบาทพัฒนาประเทศร่วมกับคณะรัฐประหารได้ตระหนักว่าแท้จริงแล้ว ตนเองไม่ได้มีความชอบธรรมมากไปกว่านักการเมือง

และควรนำเวลาที่ควบตำแหน่งไปรับผิดชอบต่อภาระหน้าที่ทางการศึกษา ทำให้การจัดอันดับมหาวิทยาลัยกระเตื้องขึ้นมาจะดีกว่า

ตั้งท่ากระแทกอธิการบดี นักวิชาการที่สวมหมวกสองใบ ทำงานให้ คสช.

เรื่องของเรื่อง โดยยุทธศาสตร์การรบในแบบฉบับทหารน่าจะประเมินสัญญาณได้ โดยปรากฏการณ์ “ปี๊บ” มันสะท้อนนัยสำคัญ

แรงเสียดทานด้านปัญญาชนกำลังยกระดับเข้มข้นขึ้นทุกขณะ

และนั่นก็แปรผันตามระดับเสียงเขียวๆของฝั่งท็อปบูต ในอารมณ์ที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม พี่ใหญ่ “บูรพาพยัคฆ์” ก็เริ่มส่งเสียงคำรามฮึ่มๆสวนกลับนักวิชาการ

เตือนกันชัดๆเลยว่า “อย่าให้ล้ำเส้น”

ทุกอย่างต้องทำตามกฎหมาย การเปิดพื้นที่แสดงความเห็นและการเสวนาสามารถทำเรื่องไปที่ คสช. ซึ่ง คสช.จะเป็นผู้กำหนดว่าต้องดำเนินการอย่างไร เพราะ คสช.ต้องการให้เกิดความสงบสุขและปรองดอง แต่อะไรที่เกี่ยวข้องกับการเมืองคงไม่ได้

ลางเนื้อชอบลางยา ทหารกับปัญญาชนเลี่ยงกันไม่พ้นซักที

และที่ส่อเค้าว่ากำลังจะเปิดแนวรบใหม่ โดยสถานการณ์จะพัฒนาไปสู่อาการบาดหมางทางอารมณ์ระหว่างรัฐบาลทหารกับสื่อมวลชน

กับรายการทุบรังนกกระจอกทำเนียบรัฐบาล

ปมเล็กๆที่จะลามเป็นแผลใหญ่ “เพาะเชื้อ” ภาวะทางใจของนักข่าวกับรัฐบาล คสช.

ตามอารมณ์ที่นางยุวดี ธัญญสิริ หรือ “เจ๊ยุ” นักข่าวอาวุโสประจำทำเนียบรัฐบาล ยิงคำถามดังๆไปถึงคนมีอำนาจบนตึกไทยคู่ฟ้า

การทุบรังนกกระจอกมีความสำคัญอะไรกับรัฐบาลหรือ คสช.นักหนา

ทั้งๆที่ปัญหาบ้านเมืองมีจำนวนมากที่รอให้รัฐบาลเข้าไปแก้ไข เข้ามาบริหารประเทศก็ควรคิดเรื่องใหญ่ในการแก้ไขปัญหาของประชาชนทั้งเรื่องข้าว เรื่องยางพารา เรื่องค่าครองชีพ รวมถึงเรื่องการขายลอตเตอรี่เกินราคาที่เห็นว่าจะแก้ไขแต่ก็ยังแก้ไม่ได้ ขอให้เอาเวลาไปคิดเรื่องทำงานมากกว่า

หรือกลัวจะไม่ได้ใช้งบประมาณ

โดยรูปการณ์ที่ยิ่ง “เข้าเนื้อ” มากขึ้นเรื่อยๆ ตามท้องเรื่องต่อเนื่องของรังนกกระจอกที่โยงกับปมร้อน “ไมค์โคตรแพง” ที่เพิ่งล้มกระดานไป ก็อยู่ในโปรเจกต์เดียวกัน

ถ้าเป็นรัฐบาลนักการเมือง เรื่องแบบนี้ถือว่า “อันตราย”.

ทีมข่าวการเมือง