วันศุกร์, กันยายน 15, 2560

ดูพม่าแล้วหันมาดูบ้านเรา ถ้ายิ่งลักษณ์ไม่ต้องหนี มีเลือกตั้ง เพื่อไทยชนะใส

สถานการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในเหมียนหม่าบอกอะไรกับเราได้บ้าง โน ไม่ใช่ออง ซาน ซูจีเปลี่ยนไป กลืนน้ำลายตนเอง หรือทรยศต่ออุดมการณ์ ดังที่วิจารณ์กันอยู่ขณะนี้

แน่นอนว่าการอมพะนำของนางซูจีชี้บ่งถึงการยอมสยบให้กับนโยบายผลักดัน ไม่ยอมรับชนเชื้อสายโรฮิงญาเป็นชาวพม่า แม้นว่าชนเชื้อชาตินี้อยู่อาศัยในพื้นที่มาเป็นร้อยๆ ปี เพียงเพราะพวกเขานับถือมุสลิม ผิดแผกแตกต่างกับศาสนาประจำชาติพม่า

ในเบื้องลึกหัวใจของดอว์ ซูจี จะเป็นอย่างไรแน่ คนทั่วไปยังไม่ได้รู้เพราะเธอไม่ยอมเปิดปากพูดให้หมดเปลือก เท่าที่พูดออกมาก็เป็นไปตามแนวนโยบายร่วมของรัฐบาลพม่า รวมทั้งการใช้กำลังทหารเข้าจัดการเพราะการก่อการร้ายของกองโจรมุสลิม เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม

แม้กระทั่งการที่ซูจีงดการเดินทางไปร่วมประชุมสหประชาชาติเดือนนี้ ทั้งที่ประชาคมโลกตั้งตารอฟังความรู้สึกจากปากของเธอเต็มๆ สักครั้ง ท่ามกลางเสียงเรียกร้องให้เรียกคืนรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพจากเธอ

ในกรณีกำลังทหารพม่าโจมตีหมู่บ้านชาวมุสลิมในรัฐยะไข่ ทั้งเข่นฆ่าและเผาบ้านเรือนจนชนชาวโรฮิงญาต้องพากันอพยพหนีภัยเข้าสู่บังคลาเทศไม่ขาดสาย ตัวเลขอาทิตย์ที่แล้ว ๔ แสนคน เชื่อว่ายังจะมีอีกไม่น้อยกว่าแสน ประชาคมโลกต่างประณามว่านี่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง

มีรายงานว่าทหารพม่าสังหารชาวโรฮิงญาอย่างโหดเหี้ยม “ตัดหัว เผาทั้งเป็นในบ้าน แม้แต่เด็กเล็กก็ไม่เว้นตกเป็นเป้า ไม่น่าแปลกใจเลยว่า ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ นายซี้ด ราอัด อัล อัสเซน กล่าวถึงการโจมตีของกำลังทหารพม่าต่อชาวโรฮิงญาว่าเป็น ตัวอย่างตำราของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์”

ม้าร์ค ฟาร์แมเนอร์ ผู้อำนวยการรณรงค์เพื่อพม่าในสหราชอาณาจักร เขียนเล่าในบทความของเขา ซึ่งเผยแพร่โดยสำนักข่าวฮัฟฟิงตันโพสต์เมื่อวันก่อน


เขาชี้ว่าหลายคนอาจจะผิดหวัง หรือกระทั่งช็อคและแปลกใจกับท่าทีของออง ซาน ซูจี ต่อกรณีความรุนแรงในยะไข่ “ไม่...เธอไม่น่าปฏิเสธว่าไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้น เยส...เธอควรที่จะแสดงความเห็นใจปกป้องชาวโรฮิงญา”

แต่ถ้าจะเรียกคืนรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพจากเธอละก็ ผอ.องค์กร ‘Burma Campaign UK’ บอกว่า “ไม่ควร” หนึ่งเพราะไม่มีกระบวนการอะไรให้ทำได้ ฉะนั้นหันมาพูดถึงต้นสายปลายเหตุแท้จริงดีกว่า


“กำลังทหารในเหมียนหม่า นำโดยผู้บัญชาการทหาร มิน อ่อง เหลี่ยง ต่างหากที่ปฏิบัติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โรฮิงญา โดยอ้างการตามล่าปราบปรามกองกำลังก่อการร้ายบังหน้า...ป่านนี้มีคนตายไปแล้วสัก ๕ พันได้ละมัง”

นายฟาร์แมเนอร์ให้รายละเอียดว่า มินอ่องเหลี่ยง ผู้นี้ควรที่จะได้รับการปฏิบัติต่อเหมือนดั่งจัณฑาลตั้งนานมาแล้ว กำลังทหารที่เขาบัญชาการมีประวัติละเมิดสิทธิมนุษยชนเลวร้ายที่สุดในโลก แม้ก่อนหน้าที่จะมีการไล่ล่าฆ่าทิ้งมุสลิมในยะไข่ครั้งนี้ สหประชาชาติก็กำลังสอบสวนเรื่องอาชญากรสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ที่กระทำต่อชาวโรฮิงญาและชนพื้นเมืองอื่นๆ ในพม่าอยู่แล้ว

แต่มินอ่องเหลี่ยงกลับเล็ดลอดจากการเพ่งเล็งของนานาชาติไปได้เพราะอะไร เพราะโลกมัวแต่จับจ้องวิจารณ์อองซานซูจีกันยกใหญ่ คุณม้าร์คบอกว่านี่แหละคือเป้าหมายที่มินอ่องเหลี่ยงต้องการ ขณะทั่วโลกชี้หน้าดอว์ซูจี ทหารพม่าก็จัดการกวาดล้างโรฮิงญาอย่างสบายใจ

“ภายใต้รัฐธรรมนูญเหมียนหม่าที่ทหารเป็นผู้ร่าง ซูจีไม่มีอำนาจอะไรเลยในการกำกับควบคุมทหาร ซึ่งเป็นอิสระปลอดจากเงื้อมมือของรัฐบาลพลเรือนอย่างสิ้นเชิง” อืม ฟังดูคลับคล้ายคลับคลา เหมือนที่ไหนสักแห่งนะนี่

“กองทัพบกพม่ากำกับทั้งตำรวจ หน่วยงานความมั่นคง การป้องกันชายแดน และระบบราชการพลเรือนส่วนใหญ่ มิหนำซ้ำยังเป็นผู้แต่งตั้งสมาชิกสภาจำนวน ๒๕ เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด

การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องใช้เสียงข้างมาก ๗๕ เปอร์เซ็นต์เป็นหลัก ดังนั้นมินอ่องเหลี่ยงจึงมีสิทธิวีโต้เต็มที่ เขาเป็นหัวหน้ารัฐบาลซ้อนรัฐบาลในเหมียนหม่า ที่มีปืนเป็นอาวุธ”

ต่อการที่จะยุติกระบวนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในพม่าให้ได้ผล ผอ.องค์กรรณรงค์เพื่อพม่าเรียกร้องให้นานาชาติหันไปกดดันคณะทหารพม่ากันได้แล้ว “ถึงเวลาที่การอยู่เหนือความรับผิดของคณะทหารจะต้องสิ้นสุดเสียที”

“ทุกๆ กรรมวิธีที่ทำได้ การทูต หลักกฎหมาย เศรษฐกิจ จะต้องนำมาใช้อย่างเต็มพิกัดในการกดดันมินอ่องเหลี่ยง” ถึงเวลาที่การซ้อมรบของกองทัพพม่าร่วมกับอังกฤษควรจะต้องยับยั้ง

ข้อสำคัญ “สมัชชาความมั่นคงสหประชาชาติจะต้องรายงานสถานการณ์ในเหมียนหม่าต่อศาลอาญาระหว่างประเทศทันที” ฟาร์แมเนอร์เน้นว่าวิธีการมีให้เลือกเยอะแยะ ขาดแต่ความกล้าหาญทางการเมืองเท่านั้น

ฟังแล้วหวนโหยถึงบ้านเรา ถ้าเดินตามรอยเหมียนหม่าเดี๊ยะ ลองนึกดูหากยิ่งลักษณ์ไม่ต้องหนี สามารถต๊ะอ้วยกับ คสช.ได้ ศาลการเมืองยกฟ้อง เสร็จงานใหญ่แล้วมีเลือกตั้งทันทีทันใด เพื่อไทยชนะใส ใครเป็นนายกฯ ก็ได้ แต่ยิ่งลักษณ์เป็นประธานที่ปรึกษารัฐบาล

แล้วเกิดการ ‘ethnic cleansing’ พวกลาวๆ ขึ้นมาล่ะ โอ๊ย สยอง ไม่อยากคิด