วันจันทร์, มิถุนายน 12, 2560

มิน่า เด็กพากันลุกหนี ไม่อยากฟังงบประมาณติดลบ ไว้ให้พวกเขาต้องเป็นภาระในอนาคต

เด็กนักเรียนพร้อมกันลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องประชุมรัฐสภา เมื่อบิ๊กตูบเริ่มแถลงชี้แจงงบประมาณรายจ่ายปี ๒๕๖๑ ซึ่ง สนช. ยกมือให้ผ่านท่วมท้น ๒๑๖ เสียง เป็นวงเงินเกือบ ๓ ล้านล้านบาท

ข่าว สยามดราม่า เมื่อสองสามวันก่อนสาธยายว่าทำให้นายกฯ หยุดแถลงทันควัน หันมาต่อว่าเด็ก “ลุกขึ้นไปแล้ว ไม่ทันได้ฟัง เหมือนกับวันศุกรเปิดฟังแป๊บเดียว ที่พูดนี่ ทำนี่ ทำเพื่อท่านทั้งนั้นรู้หรือไม่”


อย่างนี้นี่เอง มิน่า เด็กเขาถึงพากันลุกหนี ไม่อยากฟังลุงตูบจารไนเรื่องสร้างพันธะผูกพันหนี้สิน งบประมาณติดลบไว้ให้พวกเขาต้องเป็นภาระในอนาคตข้างหน้า

โดยเฉพาะงบประมาณด้านการทหาร ตามตัวเลขของสำนักข่าวอิศรา เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี ๒๕๕๘ จาก ๑.๙ แสนล้านไปเป็น ๒ แสนล้านในปี ๕๙ มาถึงปีนี้ ๖๐ เพิ่มอีกเป็น ๒.๑ แสนล้าน แล้วไปยันที่ ๒.๒๒ แสนล้าน สำหรับปี ๒๕๖๑


มิหนำซ้ำงบประมาณสำหรับสถาบันกษัตริย์ ตามที่ Somsak Jeamteerasakul แสดงความเห็นทักท้วงรายงานข่าวรอยเตอร์และบีบีซีไทย ว่าแท้จริงเพิ่มขึ้นจากเมื่อปีกลาย ๒๗.๘ เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่ลดลง ๑๔ เปอร์เซ็นต์อย่างที่ บีบีซีไทยรายงาน


ทั้งนี้เนื่องจากงบประมาณ ราชการในพระองค์สำหรับปี ๒๕๖๑ มีจำนวน ๔,๑๙๖,๓๒๓,๕๐๐ บาท (๔.๑ พันล้าน) ซึ่ง สศจ. คะเนว่าบีบีไทยคงนำงบประมาณเมื่อปีที่แล้วของ ๕ หน่วยงานสถาบันกษัตริย์ คือสำนักราชเลขาธิการ สำนักพระราชวัง กรมราชองครักษ์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ และสำนักงานตำรวจราชสำนักประจำ รวมกันราว ๕.๐๓๖ พันล้าน มาคำนวณเปรียบเทียบ ทำให้เห็นเป็นว่ามีอัตราลดลง

แท้จริงราชการในพระองค์หมายถึงเพียงสองหน่วยงาน คือสำนักราชเลขาฯ กับสำนักพระราชวัง แต่ยังมีอีกสามหน่วยงานที่เพิ่งมีการเปลี่ยนแปลงเข้ามารวมในสังกัดภายใต้บังคับบัญชาโดยตรงของพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน ที่แต่เดิมกระจายอยู่ตามหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาล อาทิ กระทรวงกลาโหมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น

อันจะทำให้งบประมาณสำหรับพระมหากษัตริย์ในปี ๒๕๖๑ ควรจะเป็น ๔.๑ + ๒.๘ (กลาโหม) + .๑๗๔ พันล้าน รวมทั้งสิ้น ๗.๒ พันล้านอย่างน้อย (สศจ. กล่าวว่ายังมีวงเงินส่งเสริมสถาบันกษัตริย์ที่จัดสรรให้กระทรวงทบวงกรมอื่นๆ อีกราวพันล้าน)

จึงสรุปว่างบประมาณปีหน้าที่ขาดดุลราว ๔.๕ แสนล้าน (https://www.thairath.co.th/content/834733) เป็นงบที่เพิ่มให้ทั้งการทหารและสถาบันกษัตริย์เป็นจำนวนมากพอดูทีเดียว

ประการสำคัญรัฐบาล คสช. ซึ่งจะยังครองอำนาจต่อไปอีกอย่างน้อยๆ ปีกว่าถึงสองปี ก่อนจะมีการเลือกตั้งตามโร้ดแม็พของการยึดอำนาจ เท่าที่ปรากฏยังไม่เห็นวี่แววว่าจะมีปัญญาหาเงินมาทดแทนรายจ่ายที่กำหนดไว้เกินกำลังได้

รมว. คลังเพิ่งออกมาไขสือเมื่อวาน (๑๑ มิ.ย.) “ได้สั่งการให้กรมศุลกากรและกรมสรรพากรดำเนินการหามาตรการจัดเก็บภาษีให้มีประสิทธิภาพหลังจากสองหน่วยงานที่เป็นหลักสำคัญในการหารายได้เข้ารัฐนี้ จัดเก็บรายได้จากภาษีในช่วง เดือนแรก (ของปีนี้)...ต่ำกว่าเป้าหมาย

ศุลกากรนั่นจัดเก็บพลาดเป้าไปถึง ๑๓,๐๐๐ ล้านบาท นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากรพยายามชี้แจงถึงปัญหาโน่นนี่ เสียเอฟทีเอ ๔ พันล้านบ้าง ปรับโครงสร้างภาษีแล้วขาดทุนอีก ๔ พันล้านบ้าง

มิหนำซ้ำผู้ประกอบการรถยนต์ใช้วิธีนำไปประกอบที่อื่นแล้วค่อยนำกลับเข้าไทย ทำให้กรมศุลกากรขาดรายได้ไปอีก ๒ พันล้านบ้าง ล้วนคนอื่นทำให้เกิดทั้งนั้น ไม่เคยคิดจะทำเองสักนิด


ด้านกรมสรรพากรก็เช่นกัน นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงารคลังอ้างว่า “มาตรการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มยังไม่ใช่แนวทางที่จะทำให้การจัดเก็บรายได้ของรัฐเพิ่มขึ้นได้ในขณะนี้

คงจำกันได้เมื่อไม่กี่เดือนมานี้เอง ทั้งคลังทั้งเถ้าแก่เนี้ยบิ๊กตูบ ล้วนเกิดไอเดียบรรเจิด เสนอให้เพิ่มอัตราภาษี VAT เป็น ๑๐ เปอร์เซ็นต์บ้าง อย่างน้อยขออีก ๑ เปอร์เซ็นต์ก็ยังดี “ขอแค่นี้ไม่ได้เหรอ” ประชาชนงี้หน้าม้าน

พอตอนนี้สรรพากรเก็บภาษีได้ต่ำกว่าคาดหมายถึง ๔ หมื่นล้านบาท จะหันไปไล่เบี้ยเอากับผู้ประกอบการออนไลน์อีกแล้ว “กรมสรรพากรจะเสนอแนวทางมาให้กระทรวงฯพิจารณาในสิ้นเดือนนี้ ก่อนเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา

และเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาออกเป็นกฎหมายบังคับใช้ต่อไป เพื่อให้ผู้ประกอบการออนไลน์รายย่อยของไทยเข้าสู่ระบบชำระภาษีที่ถูกต้องตามกฏหมาย


ต้องเข้าใจไว้ด้วยในที่นี้นะว่า “ถูกต้องตามกฎหมาย” มิได้หมายความได้เลยว่า มีความเป็นธรรมเสมอไป ในยุค คสช. นี่เขาไม่เอาสองหลักการนี้มาผสานกันอยู่แล้ว

สูตรสำเร็จเผด็จการยึดอำนาจ กฎหมาย กับ เป็นธรรม เหมือนน้ำกับปลา ต้องแยกกัน การครอบครองจึงจะสำฤทธิ์ผล

ด้วยเหตุนี้ คสช. และลิ่วล้อจึงพยายามพูดนักพูดหนาว่าต้องกำจัด ระบอบทักษิณ เสียก่อนอื่นใด พูดบ่อยๆ จนไม่เพียงคนที่โดนกรอกหูเคลิ้มว่าเป็นจริงเท่านั้น คนพูดนั่นเองก็หลงใหลไปด้วยเหมือนกันว่าตนพูดความจริง

ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าระบอบทักษิณเป็นอย่างไร ต้องให้ วัฒนา เมืองสุข แห่งพรรคเพื่อไทยอธิบาย เก็บจากที่เขาเขียนไว้บนเฟชบุ๊คเมื่อวานมาเล่าต่อ ได้สามคำกระชับแม่นมั่น “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และขยายโอกาส

อดีตรัฐมนตรีพาณิชย์ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้ตัวอย่างว่า “ลดรายจ่ายคือ ๓๐ บาทรักษาทุกโรค ส่วน OTOP และกองทุนหมู่บ้าน คือการเพิ่มรายได้และการขยายโอกาสให้ประชาชน”

เขายังบอกอีกว่า “การทำลายระบอบทักษิณไม่ต้องไปสุมหัววางแผนทำเรื่องที่น่าอับอาย...เพียงทำให้ประเทศเจริญประชาชนอยู่ดีกินดีมากกว่าที่ทักษิณเคยทำไว้คนก็จะลืมทักษิณเอง


ไหมล่ะ ทักษิณหายไปเป็นสิบปี มีโฟนอินบ้างเป็นครั้งคราวกับพวกวงในและแฟนคลับของเขา เดี๋ยวนี้ไฉนยังพูดถึงทักษิณกันแซ่ด