วันพุธ, เมษายน 13, 2559

เหลือจะทนเลยละหมอนี่ “ที่สุดของความกักขฬะ





เหลือจะทนเลยละหมอนี่ “ที่สุดของความกักขฬะ -

ถ้าไม่ผ่านอำนาจก็อยู่ที่ฉันไงเล่า เข้าใจคำว่าอำนาจไหม อำนาจจะเปิดไม่เปิดก็เรื่องของผม”

นั่นเก็บมาจากคอมเม้นต์ของ ‘Pipob Udomittipong’ ต่อคำพ่นของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ต่อกรณีพรรคประชาธิปัตย์ขอให้เปิดเผยแนวทางหากว่าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ





“ก่อนจบเอานิ้วชี้นักข่าว พร้อมกับสบถ เข้าใจยัง สมองอะ สติปัญญา เข้าใจยัง ให้คนเขาเข้าใจบ้าง”

นี่ละคำขวัญวันสงกรานต์จากทั่นผู้นัมบ์สำหรับนักข่าว (หญิง) “ฉันไม่ได้ดูถูกเธอหรอก ไม่ได้ดูถูกใครทั้งสิ้น”

แถมด้วย “ขอให้ผู้หญิงแต่งตัวมิดชิด แต่งตัวแบบไทยๆ ก็ดูดีมีวัฒนธรรม” ตอนสงกรานต์นี้ “ลองดูตลาดของประเทศเกาหลียังไม่เห็นต้องแต่งตัวโป๊ สำหรับตนเองผู้หญิงเปรียบเสมือนทอฟฟี่หรือลูกกวาด ถ้าเปิดหมดก็ไม่มีใครอยากกิน แต่บางคนเก็บไว้หลายปีก็ขายไม่ออก”

(http://www.matichon.co.th/news/103081)

ก็เลยมี feedback กลับมาจากคนที่ค่อนข้างจะ ‘กันเอง’ (แต่ตอนนี้ขอเล่นบทประชดประชันเสียหน่อย)

“อภิสิทธิ์ ‘ฝาก’ พล.อ.ประยุทธ์ให้ใจเย็นๆ เข้าใจอากาศร้อน อย่าทำตัวร้อนตามอากาศให้ทบทวนคำถามสื่อก่อนตอบ” (คัดมาจากทวี้ตของ ทินณภพ พันธะนาม @Phop_NTV NationTV22)

บทบาทของประชาธิปัตย์ที่ออกมาติติงบางข้อ เรื่องที่เห็นโทนโท่ว่ากำลังเข้าป่าลงเหวเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โดยเฉพาะคำถามพ่วงในประชามติ ที่จะให้พวก สว. ลากตั้ง ร่วมออกเสียงเลือกนายกฯ

แต่ที่สุดแล้วก็ยังสงวนท่าทีไม่แสดงแจ่มแจ้งว่าปชป. จะไม่รับร่างฯ เหมือนอย่างพรรคเพื่อไทย

ตัวอย่างของชั้นเชิง ‘แทงกั๊ก’ ต้องดูจากหมอวรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก ที่เอาความดีใส่ตัว ผลักชั่วให้คู่แข่ง จากการที่ทั้งสองพรรคถูกทหารกวาดเก็บของสมนาคุณวันสงกรานต์ ฝ่ายเพื่อไทยเป็นขันแดง ส่วน ปชป. กล่องยาและผ้าขนหนูสีฟ้า

หมอวรงค์อ้างว่า ‘กล่องยา’ ไม่มีเจตนาแอบแฝงกระตุ้น ยั่วยุ ปลุกระดมเหมือน ‘ขันแดง’

(http://www.matichon.co.th/news/104191)


จะโต้กันอย่างไรก็ตามที น้ำลายใครคงไม่เหม็นเท่าน้ำลายประยุทธ์

(นี่เป็น analogy เชิงประยุกต์จากการที่ทั่นผู้นัมบ์ switches ถ้อยคำหน้าหลัง ซ้ายขวา หกคะเมนตีลังกาตลอด จนน้ำลายเน่า)




ตอนเช้านักข่าวถามถ้าร่าง รธน. ไม่ผ่านทำไง “ก็ร่างใหม่...เมื่อถามว่า แล้วฉบับที่เตรียมไว้หากไม่ผ่านจริง นายกฯ กล่าวว่า ก็เตรียมไว้อยู่ในใจในหัวของตนนี่ ไม่เอาฉบับไหนทั้งนั้น”

วกวนชิ.หา. แผ่นเสียงตกร่องอย่าง 'ป๋า' เสียดีกว่า โน คอรัปชั่น โน้โน คอรัปชั่น บ้านหลวง

ที่ร้าย หมู่นี้ชอบอ้างต่างชาติ “ซึ่งเป็นประเทศประชาธิปไตยก็เป็นกำลังใจให้กับตน...ผู้นำประเทศนั้นซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจดี...เขาไม่เป็นห่วง ประเทศไทยมีศักยภาพหลายด้าน แต่ที่ห่วงคือเรื่องความมีเสถียรภาพทางการเมือง”

ไม่รู้ว่าต่างประเทศที่ว่าเป็นเกาหลี (ใต้) หรือเปล่า เห็นชื่นชมบ่อยเหลือเกิน ขนาดหมายมั่นจะจ้างดาราดังวัยรุ่นของเขามาปรนเปรอวัยรุ่นไทย ทำพีอาร์ให้ คสช.

จากนั้นก็พล่ามเลยเถิดไปถึงเรื่องพรรคการเมือง “แต่ทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปเป็นทุนเสรีนิยมไปแล้ว”

(http://www.matichon.co.th/news/103973)


เกาหลีใต้เขาก็ ‘ทุนเสรี’ นะทั่น ถ้างั้นใช่ ‘จีน’ ไหม เศรษฐกิจของเขา ‘ใหญ่’ อยู่นี่ อาจ ‘ดี’ ในสายตาของฮุนต้าไทยก็ได้ เห็นคุณนายกอบกาญจน์ (วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) แย้มว่านายกฯ

“แนะนำหนังสือ The Governance of China ให้ ครม.อ่าน ซึ่งเป็นหนังสือที่เขียนโดยผู้นำจีน บอกเล่าเรื่องการบริหารงานที่มีแนวทางสอดคล้องกันกับประเทศไทย”

(http://www.matichon.co.th/news/103564)

แล้วอย่างประเทศแคนาดาล่ะ เขาไม่ต้องกระซิบกระซาบให้น่ารำคาญ แถลงการณ์ออกมาโต้งๆ เลย

“แคนาดามีความกังวลที่ประเทศไทยได้มีการนำคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ ๑๓/๒๕๕๙ มาใช้เมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งได้ขยายอำนาจรักษาความสงบเรียบร้อยให้กับเจ้าหน้าที่ทหารของไทย




โดยการบังคับใช้คำสั่งดังกล่าว แสดงถึงการบั่นทอนหลักนิติรัฐ และกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมายในประเทศไทย ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความเป็นไปได้ในการละเมิดสิทธิมนุษยชน

แคนาดายังขอกล่าวย้ำถึงความกังวลอย่างสำคัญ เกี่ยวกับการจำกัดสิทธิพลเมือง และการเมืองพื้นฐานของรัฐบาลทหาร รวมทั้งความตั้งใจที่รัฐบาลได้แจงไว้ว่าจะขยายการใช้การปรับทัศนคติ เพื่อเป็นเครื่องมือทำให้ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองและนักกิจกรรมหวาดกลัว

แคนาดายังติดตามความคืบหน้าของกฎหมายประชามติอย่างใกล้ชิด และเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจของไทยรับรองว่า ประชาชนชาวไทยจะสามารถเข้าร่วมการอภิปรายอย่างเสรี และมีส่วนร่วมเกี่ยวกับคุณค่าของร่างรัฐธรรมนูญ”

(http://www.isranews.org/isranews-s…/…/46179-kjsii11459.html…)

หรือเช่นสหรัฐ ทั่นนายกฯ ไม่ยักชอบพูดถึง ดังตอนที่ แคทีน่า แอดัมส์ โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐสำหรับกิจการเอเซียตะวันออก บอกว่า

“รัฐบาลไทยควรที่จะจำกัดบทบาทของทหารในการทำหน้าที่พิทักษ์สันติราษฎร์ (ที่เป็นของตำรวจ) และปล่อยให้เจ้าพนักงานสายพลเรือนรับภารกิจของพวกเขาไป”

(http://www.bigstory.ap.org/…/us-criticizes-new-police-power…)

“นี่รวมถึงการกลับไปดำเนินคดีอาญาต่อพลเรือนในศาลพลเรือน และให้ความคุ้มครองผู้ต้องคดีตามกระบวนกฎหมายและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย”

สิ่งที่โฆษกหญิงกระทรวงต่างประเทศสหรัฐกล่าวนั้นตรงต่อแนวทางสิทธิมนุษยชนสากล ชนิดที่ทำให้การออกมาตอบโต้โดย ‘ไก่อู’ โฆษกทำเนียบฯ กลายเป็นจิ้งจอกตำหนิองุ่นเปรี้ยว ในเมื่อองค์กรสิทธิมนุษยชนนานาชาติ อย่าง FDIH แถลงแจ้งความผิดไว้แล้ว

(https://news.vice.com/…/thailand-is-in-danger-of-becoming-a…)

นางแอนเดรีย จิออร์เก็ตต้า ผู้อำนวยการแผนกเอเซียอาคเนย์ของสหพันธ์สิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ กล่าวว่า “คนที่ออกมาคัดค้านอย่างสันติต่อการปกครองเผด็จการของทหาร อันได้แก่สื่อมวลชนและผู้ปกป้องสิทธิมนุษยชน นั้นถูกกลั่นแกล้ง ก้าวร้าว ข่มขู่ และนำตัวไปควบคุมโดยลุแก่อำนาจ”

ด้วยเหตุเหล่านั้นทำให้รายงานข่าวของ ‘ไว้ซ์นิวส์’ ระบุว่า ประเทศไทยก้าวลึกเข้าไปสู่การเป็นประเทศเผด็จการทหารอย่างเต็มรูปแบบอีกขั้นหนึ่งแล้ว

สิ่งที่หัวหน้า คสช. พูดทุกครั้งในรายการ ‘โฆษณาชวนเชื่อ’ (ฆษช.) ภาคค่ำ ว่าพยายามสร้างประชาธิปไตยยั่งยืน จึงไม่เพียงปกปิดความจริงต่อนานาชาติ หากแต่บิดเบือนตอแหลต่อประชาชนไทยอย่างหาที่เปรียบมิได้