วันอังคาร, มิถุนายน 30, 2558

'บ้านเมืองยังไม่ปกติ 'วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล เขียนถึง แมน ปกรณ์ 1ใน14 นักศึกษาที่ถูกจับกุม



ที่มา ประชาไท
Sun, 2015-06-28
วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล

ผมเลิกเขียนเรื่องการเมืองมาสักพักแล้ว...

ที่ผ่านมา ทุกครั้งที่ผมเขียน ผมมีความตั้งใจเดียว นั่นคือพยายามทำให้คนเข้าใจกันมากขึ้น เห็นใจกันมากขึ้น ยอมรับในความแตกต่างของกันและกันได้มากขึ้น

แต่ดูเหมือนว่าทุกความพยายาม จะนำมาแต่ผลตรงกันข้าม บทความการเมืองออนไลน์ของผม น้อยครั้งเหลือเกินที่จะเปลี่ยนความคิดอะไรของใครได้ ทำได้ก็เพียงแค่เรียกคนจำนวนมากที่มีความคิดในแบบของตนอยู่แล้ว มาระบายความเกลียดชังต่อกัน ด่าทอกัน ส่วนกับผู้เขียนอย่างผม ใครเห็นด้วยเขาก็ชม ใครไม่เห็นด้วยเขาก็ด่า ก็แค่นั้น

...เปล่าประโยชน์

แต่ในวันนี้ วันที่บ้านเมืองยังไม่ปกติดี ผมอยากจะขอลองดูอีกครั้ง...
——————-
บ้านเมืองยังไม่ปกติดี...


รูปทางซ้ายคือตัวผมเมื่อตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อประมาณสิบปีที่แล้ว ตอนนั้นกลุ่มนักกิจกรรมในธรรมศาสตร์ และอีกหลายๆมหาวิทยาลัย ได้รวมตัวกันทำกิจกรรมการเมืองมากมายในการต่อต้านเครือข่ายของอดีตนายกฯทักษิณ และคัดค้านพรรคพลังประชาชน ผมเองตอนปีสามปีสี่ก็ active มากๆในกิจกรรมนี้ พวกเราพยายามล่ารายชื่อ 50,000 รายชื่อ เพื่อถอดถอนคุณทักษิณ และพยายามรณรงค์ให้คนกางดออกเสียง (Vote No) ในการเลือกตั้ง

ตอนนั้นบ้านเรายังไม่มี Social Network และยังไม่เบื่อหน่ายกับม็อบและการชุมนุมเช่นในปัจจุบันมากนัก ผมจำได้ว่าตอนรณรงค์ Vote No พวกเรานักศึกษาหลายสิบคน ได้ไปเดินขบวนในพื้นที่สาธารณะหลายๆพื้นที่ เพื่อชักชวนประชาชนให้หันมาสนใจกิจกรรมของพวกเรา และก็ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากหลายๆคน และมีบางคนที่ไม่เห็นด้วยกับเรา ก็เดินเข้ามาคุยด้วย แลกเปลี่ยนกันด้วยดี แล้วก็แยกย้ายกันไป

ทำเสร็จเราก็กลับบ้าน ไปหาพ่อหาแม่ วันต่อมาเราก็ไปเรียนได้ตามปกติ

ไม่โดนจับ ไม่ต้องแบกรับความเกลียดชังของใคร

แค่ทำตามความเชื่อของตัวเอง

อีกภาพหนึ่งคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ที่นักศึกษา 14 คนที่มีส่วนร่วมในการในการทำกิจกรรมต้านรัฐประหารเมื่อวันครบรอบ 1 ปีรัฐประหาร 22 พ.ค.ที่ผ่านมา โดนจับกุมตัวไปตามหมายจับศาลทหาร ข้อหาขัดคำสั่ง คสช. และผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐตามประมวลกฎหมายอาญา ม.116

เมื่อคืนทั้ง 14 คนต้องนอนคุก และจะต้องถูกฝากขังทั้งสิ้น 12 วัน ในนั้น 13 คนเป็นผู้ชายและถูกส่งไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ขณะที่มีน้องอีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิงที่ต้องถูกแยกไปขังไว้ที่ทัณฑสถานหญิงเพียงคนเดียว ก่อนที่จะถูกดำเนินคดีในศาลทหารต่อไป และข้อหาที่พวกเขาถูกแจ้ง อาจจะมีความเป็นไปได้สูงว่าจะต้องติดคุกถึง 7 ปี

เพราะเขายืนหยัดในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ พวกเขาจึงถูกด่าทอมากมายจากสังคม โดนกล่าวหาว่ามีนักการเมืองอยู่เบื้องหลัง (โดยไม่มีหลักฐานใดๆ)

เพราะเขาและเธอต่อสู้เพื่อสิทธิและเสรีภาพ น้องๆเหล่านี้กำลังจะสูญเสียอิสรภาพของตัวเองไป



สิบปีผ่านมาจากวันเวลาในรั้วมหาวิทยาลัยของผม และนี่คือจุดที่เราอยู่

สังคมอุดมความเกลียดชัง สังคมที่ผู้มีอำนาจ อยากจะทำอะไรก็ได้ กลับมาอีกครั้ง

สังคมที่นักศึกษา ผู้ที่มีสถานะพิเศษ ในการมีชีวิตอยู่โดยปราศจากพันธนาการของผลประโยชน์และภาระของโลกใดๆ ไม่มีโอกาสร้องบอกกับสังคมได้ว่า ความถูกต้องในรูปแบบที่บริสุทธิ์ที่สุด คืออะไร



บ้านเมืองยังไม่ปกติดี

แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วยกับน้องๆเค้า ผมเองก็ไม่ได้เห็นด้วยกับน้องๆเค้า 100 เปอร์เซ็นต์

แต่ผมรู้สึกว่า ในห้วงยามเช่นนี้ “ความเห็นด้วย” มิใช่เรื่องสำคัญที่สุด

สิ่งที่ผมเห็น คือคนหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งที่กล้าหาญ กล้ายืนหยัดในความศรัทธาของตน กำลังจะถูกทำให้หายไปจากความทรงจำของผู้คน ถูกทำให้หมดอนาคตไปทั้งชีวิต เพียงเพราะเขากล้าพูดในสิ่งที่เขาคิด

เหมือนกับ “คน” ทุกคนที่ต้องล้มตาย ต้องถูกกักขัง ในทุกๆการชุมนุมที่ผ่านมา

มันไม่สำคัญเลยว่าสิ่งที่พวกเขาอยากจะพูด เป็นสิ่งเดียวกับที่ผมหรือคุณอยากพูดหรือไม่

สิ่งที่สำคัญคือ เราทุกคน ควรจะมีสิทธิ์เท่าเทียมกันที่จะพูดมันมิใช่หรือ

มันไม่สำคัญเลย ที่เราอยากเห็นบ้านเมืองในอุดมคติที่แตกต่างกัน
สิ่งที่สำคัญคือการหยืดหยัดเพื่อศรัทธาของตนเองนั้น ล้วนแล้วเป็นการกระทำที่น่านับถือทั้งสิ้นมิใช่หรือ

มันไม่สำคัญเลย ที่เราจะแตกต่างกันในความคิด

ถ้าจิตใจของเราต้องการสิ่งเดียวกัน คือสังคมที่เป็นธรรม และโลกที่ดีขึ้นสำหรับคนทุกคน

เราจะปล่อยให้เพียง “ความคิดไม่เหมือนกัน” เป็นความผิดมหันต์ ที่อนุญาตให้เราปล่อยคนกลุ่มหนึ่ง และอีกหลายๆกลุ่ม ถูกบังคับไปสู่การถูกพันธนาการจองจำ เช่นนั้นหรือ ?

ภาพโดย สรวุฒิ วงศ์ศรานนท์

ในรั้วมหาวิทยาลัย ผมเคยพยายามสู้กับสิ่งที่ถูกเรียกว่าระบบทักษิณ จนมาวันนี้ดูเหมือนว่าสิ่งนั้นจะหายไปแล้ว

แต่ในวันนี้ สังคมเราดีขึ้นแล้วจริงๆหรือ?

สำหรับผม... มันยังไม่ดีพอ

แล้วเราก็ไม่ควรหยุดเดินต่อ เพื่อให้มันดีกว่านี้

ในบรรดาคนหนุ่มสาวที่ถูกจับไป ผมรู้จักน้องคนหนึ่งค่อนข้างดี คือน้อง แมน ปกรณ์ อารีกุล

แมนอายุ 26 ปี เป็นเด็กบ้านนอก เขาเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องกฏหมายที่ดิน 4 ฉบับเพื่อคนจนมานาน ตั้งแต่สมัยรัฐบาลหลายรัฐบาลก่อนๆหน้านี้

หลายคนทวงถามว่านักศึกษาหายไปไหนในสมัยทรราชย์ครองเมือง ผมเองไม่สามารถยืนยันให้กับทุกคนได้ แต่กับแมน ผมกล้าบอกว่าแมนเขาไม่เคยหายไปไหน เขาสู้เรื่องนี้มาตลอด และไม่เคยแคร์ว่ารัฐบาลคือใคร เขาแค่แคร์ว่าความเป็นธรรมคืออะไร และในความคิดของเขา ในสมัยที่เป็นประชาธิปไตย อย่างน้อยพวกเขาก็ยังสามารถออกมาประท้วงได้เรื่อยๆ เทียบกับตอนนี้ที่ไม่มีสิทธิ์เอ่ยเสียงใดๆ

หลายคนคิดว่าการที่ทหารจับนับศึกษาไป ก็เพื่อสร้างความกลัวไม่ให้ใครกล้าออกมาพูดอะไรขัดหูขัดตาอีก

แต่สิ่งที่ผมได้จากแมนและเพื่อนๆ ไม่ใช่ความกลัว แต่คือแรงบันดาลที่จะออกมาพูดเสียงดังๆอีกครั้งว่า “บ้านเมืองยังไม่ปกติดี”

อีกไม่นานนี้ผมก็คาดและหวังว่า จะเริ่มมีการเริ่มล่ารายชื่อ เพื่อให้ปล่อยตัวนักศึกษาทั้ง 14 คนอย่างไม่มีเงื่อนไข

ผมเองขอออกชื่อตัวเองไว้ก่อน ณ ที่นี้

และก่อนหน้านี้ แมน พยายามจะชวนผมไปกินเบียร์เชียร์บอลกัน ซึ่งก็น่าเสียดาย ด้วยความยุ่งในหน้าที่การงาน ผมเองก็ไม่ได้ไปเจอน้องสักที

แล้วรีบออกมากินเบียร์กันนะมึง ไอ้น้อง