วันพฤหัสบดี, มีนาคม 19, 2558

ย้ำอีกครั้ง...พลเรือนต้องไม่ขึ้นศาลทหาร!








ที่มา สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย

จำเลยที่ขึ้นศาลทหาร อย่างน้อยจะต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ (ซึ่งจะไม่มีทางเจอในศาลยุติธรรม) ได้แก่

๑. ผู้พิพากษาศาลทหาร องค์คณะรวม ๓ คน แบ่งเป็น ๒ คนไม่จบนิติศาสตร์ ๑ คนจบนิติศาสตร์(ไม่ต้องจบเนติบัณฑิต ก็เป็นผู้พิพากษาได้) เสียงข้างมากขององค์คณะคือ คนที่ไม่ได้เรียนกฎหมายมาก่อน

๒. ผู้พิพากษาศาลทหาร อยู่ใต้การบังคับบัญชาของรัฐมนตรีกลาโหม (ขาดความเป็นอิสระของตุลาการ)

๓. ภายใต้กฎอัยการศึก คดีอาญาตัดสินโดยศาลชั้นเดียว ไม่มีอุทธรณ์ ไม่มีฎีกา

๔. การประกันตัวในคดีที่ขึ้นศาลทหาร ไม่สามารถใช้ "บุคคล" หรือ "เอกสารสิทธิเกี่ยวกับที่ดิน" ตลอดจน "กรมธรรม์ประกันอิสรภาพ" ได้ เพราะศาลทหารไม่ยอมรับ จำเลยที่จะประกันตัวในศาลทหาร ต้องใช้เงินสดล้วน ๆ ซึ่งสร้างภาระแก่จำเลยอย่างยิ่ง

๕. บางกรณีศาลทหารกำหนด หลักประกันสูงมหาศาล (กรณีทนายอานนท์ ครึ่งล้าน) จนกระทั่งในทางภาววิสัยไม่มีใครหาเงินมาประกันตัวได้ทันในระยะเวลาสั้น ๆ และไม่อาจทราบว่าความแน่นอนหรือมาตรฐานของหลักประกันอยู่ที่ใด กรณีของศาลยุติธรรมจะกำหนดเรตหลักประกันไว้ชัดแจ้ง และเท่าที่ผมเคยสัมผัส ถ้ากรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ศาลอาญา จะให้ถือตามหลักประกันของความผิดที่มีโทษสูงสุดเท่านั้น จะไม่มีการบวกหลักประกันไปเป็นพรวนตามอำเภอใจของผู้ฟ้องคดี

พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
นักวิชาการทางกฎหมายมหาชน


ooo

ก่อนการรัฐประหารปี 2557 จำเลยที่เป็นทหารเท่านั้นต้องขึ้นศาลทหาร แต่ประกาศคสช.ฉบับที่ 37/2557 และ 38/2557 กำหนดให้พลเรือนต้องขึ้นศาลทหารในคดีความต่อไปนี้
>> คดีความผิดต่อพระมหากษัตริย์ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 107-112
>> คดีความผิดต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร มาตรา 113-118
>> คดีความผิดฐานฝ่าฝืนประกาศ และคำสั่ง คสช. ทุกฉบับ
>> คดีความผิดที่เกี่ยวโยงกับความผิดที่ต้องขึ้นศาลทหาร
[ดูประกาศคสช.ฉบับที่ 37/2557 http://library2.parliament.go.th/…/…/ncpo-annouce37-2557.pdf]
.
ศาลทหารมีวิธีการพิจารณาคดี และเงื่อนไขการอำนวยความยุติธรรมต่างกับศาลพลเรือน เช่น
++ ศาลทหารภายใต้กฎอัยการศึกมีชั้นเดียว ไม่มีการอุทธรณ์ฎีกา
++ ตุลาการตัดสินคดีเป็นทหารทั้งหมด คดีหนึ่งมีอย่างน้อย 3 คน 2ใน3 คนไม่ต้องจบกฎหมาย
++ อัยการที่ทำหน้าที่ฟ้องคดีเป็นอัยการทหาร ไม่ต้องสอบผ่านเนติบัณฑิตก่อน
++ การพิจารณาและสืบพยานในศาลทหาร ถ้าจำเลยรับสารภาพหรือไม่ติดใจฟัง ไม่ทำต่อหน้าจำเลยก็ได้
++ การสืบพยานในศาลทหาร ไม่ใช้วิธีนัดต่อเนื่องกัน ทำให้การถามพยานขาดช่วง มีโอกาสให้พยานเตรียมตัวล่วงหน้าได้
++ ปกติศาลทหารมีคดีที่ต้องพิจารณาไม่มาก ทั้งตุลาการและเจ้าหน้าที่ไม่เคยมีประสบการณ์แบกรับคดีที่มีปริมาณเยอะ และคดีที่มีความซับซ้อนทางพยานหลักฐานและการตีความกฎหมาย
.
สถิติคดีการเมืองที่พลเรือนต้องขึ้นศาลทหาร
ตั้งแต่หลังการรัฐประหารถึงปัจจุบันมีพลเรือนต้องขึ้นศาลทหารอย่างน้อย 105 คน แบ่งเป็น
(1) คดีฝ่าฝืนประกาศคสช.ฉบับที่ 7/2557 ห้ามชุมนุมทางการเมือง 50 คน
(2) คดีฝ่าฝืนประกาศคสช.ฉบับที่ 41/2557 ไม่มารายงานตัวตามกำหนด 9 คน
(3) คดีมาตรา 112 ฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ 29 คน
(4) คดีมาตรา 116 ฐานปลุกปั่นยั่วยุฯ 2 คน
(5) คดีเกี่ยวกับอาวุธปืนที่เกี่ยวข้องกับการเมือง 37 คน
[ดูตารางผู้ถูกตั้งข้อหาทางการเมืองหลังการรัฐประหาร ได้ที่ http://ilaw.or.th/node/3119]
นอกจากนี้ยังมีพลเรือนที่ถูกตั้งข้อหาครอบครองอาวุธปืนและข้อหาอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการเมืองอีกจำนวนหนึ่งที่ต้องขึ้นศาลทหารด้วย
.
ข้อสังเกตเกี่ยวกับศาลทหารในปี 2557-2558
++ คดีฝ่าฝืนคำสั่งและประกาศคสช.ศาลทหารมีแนวโน้มกำหนดโทษเหมือนกันทุกคดี และให้จำเลยได้รอลงอาญา [ดูรายละเอียดที่ http://freedom.ilaw.or.th/blog/PoliticalCharges2014]
++ ศาลทหารพิพากษาคดีมาตรา 112 มาแล้ว 2 คดีซึ่งกำหนดโทษจำคุก 9 ปี และ 10 ปี สูงกว่าอัตราโทษที่กำหนดโดยศาลพลเรือนประมาณสองเท่า และมีแนวโน้มสั่งพิจารณาคดีลับ [ดูรายละเอียดที่ http://freedom.ilaw.or.th/blog/MCourtComparation%20]
++ มีคดีมาตรา 112 อย่างน้อย 4 คดี ที่การกระทำเกิดขึ้นก่อนการรัฐประหาร แต่ถูกตีความให้ไปพิจารณาที่ศาลทหารจนได้ [ดูรายละเอียดที่ http://ilaw.or.th/node/3213]
++ คดีส่วนใหญ่ ศาลทหารไม่อนุญาตให้ผู้เข้าสังเกตการณ์จดบันทึกในห้องพิจารณาคดี [ ดูรายละเอียดที่ http://on.fb.me/1GKz8HD]
++ จำเลยที่เป็นพลเรือนอย่างน้อย 4 คน เคยยื่นคำร้องคัดค้านอำนาจของศาลทหาร แต่ศาลทหารปฏิเสธที่จะส่งคำร้องเรื่องเขตอำนาจให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย [ดูรายละเอียดที่ http://freedom.ilaw.or.th/blog/MilitaryCourtJurisdiction]


ที่มา iLAW
https://www.facebook.com/iLawClub/photos/a.10150540436460551.646424.299528675550/10155291822880551/?type=1&theater

ooo


เปิดจดหมาย ‘ทอม ดันดี’ ถึงกรรมการสิทธิฯ ร้องขอพลเรือนไม่ขึ้นศาลทหาร

ภาพจาก มติชนออนไลน์

ที่มาเรื่อง ประชาไท
Tue, 2015-03-17

ธานัท ธนวัชรนนท์ หรือ ทอม ดันดี อดีตนักร้องนักแสดง อายุ 56 ปี เป็นชาวเพชรบุรี ก่อนถูกจับเขามีอาชีพเป็นชาวสวนปลูกไผ่ขาย ในวัยหนุ่มเขาเคยไปเล่าเรียนด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่ประเทศฝรั่งเศส เขาเคยเล่าด้วยว่าระหว่างศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศสได้มีโอกาสไปเยือนและร่วมรับประทานอาหารที่บ้านของปรีดี พนมยงค์ พ่อของเขาเป็นทั้งครูใหญ่และแพทย์ เคยเข้าร่วมขบวนการเสรีไทย แม่ของเขาเป็นมีอาชีพเป็นนางละคร ดูเหมือนเขาจะได้รับอิทธิพลจากทั้งพ่อและแม่ ในระยะหลังที่การเมืองไทยทวีความขัดแย้งมากยิ่งขึ้น เขาออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง ขึ้นเวทีปราศรัยทั้งของ นปช.และเวทีย่อยต่างๆ ที่จัดโดยคนเสื้อแดงกลุ่มอิสระมากมายหลายกลุ่ม

หลังการรัฐประหาร 22 พ.ค.57 เขาถูกควบคุมตัว 2 ครั้ง ครั้งแรกกรณีไม่รายงานตัวตามประกาศ คสช. เขาถูกจับกุมที่บ้านจังหวัดเพชรบุรี วันที่ 9 มิ.ย.57 อยู่ในความควบคุมของทหาร 3 วัน ถูกควบคุมตัวที่กองปราบ 2 วัน จากนั้นถูกนำตัวไปฝากขังยังศาลทหาร และถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ อีก 4 วัน ก่อนได้รับอนุญาตให้ประกันตัว

ประมาณหนึ่งเดือนถัดมา เขาถูกเจ้าหน้าที่บุกควบคุมตัวอีกครั้งจากบ้านพักในวันที่ 9 ก.ค.เพื่อนำตัวมาสอบสวนที่ บก.ปอท. พร้อมแจ้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา และมาตรา 14 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดยอ้างเหตุจากกรณีที่เขาไปปราศรัยในเวทีเล็กๆ จัดโดยสถานีวิทยุชุมชนของนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ เมื่อราวเดือนพฤศจิกายน 2556 หลังจากนั้นเขาขอประกันตัว แต่ศาลทหารไม่อนุญาต

ระหว่างถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ รวมถึงวันนี้ 8 เดือนเศษ ตอนแรกคดีของเขาถูกส่งฟ้องศาลอาญา ก่อนที่จะถูกโอนมาให้ศาลทหารในเวลาต่อมา และจะเริ่มการสืบพยานนัดแรกในวันพุธที่ 18 มีนาคมนี้

ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วเขาได้พยายามร้องเรียนกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเนื่องจากเห็นว่าคดีของเขาไม่ควรถูกฟ้องยังศาลทหาร อย่างน้อยที่สุดก็เนื่องจากการกระทำความผิดของเขาตามที่กล่าวหานั้น เกิดขึ้นก่อนประกาศของ คสช. ฉบับที่ 37/2557 ที่ให้คดี 112 ที่เกิดขึ้นหลังประกาศฉบับนี้ต้องขึ้นศาลทหาร ประกาศฉบับ 37 นี้ออกวันที่ 25 พ.ค.57 อย่างไรก็ตาม ในคำฟ้องคดีทอมระบุว่า คดีนี้ถือเป็นคดีเกี่ยวเนื่องตามประกาศคสช.ฉบับ 38/2557 เพราะแม้เขาจะปราศรัยในเดือนพฤศจิกายน 2556 (ก่อนออกประกาศ) แต่มีผู้อื่นนำเสียงของเขาไปอัพโหลดขึ้นยูทูปซึ่งเปิดให้เข้าถึงเรื่อยมาจนกระทั่งหลังวันที่ 25 พ.ค.57 จึงถือว่าเป็นการกระทำผิดร่วมกัน แม้เขาจะไม่มีความรู้ทางคอมพิวเตอร์ และไม่ทราบว่าใครเอาไปอัพโหลดขึ้นยูทูปก็ตาม

จดหมายของทอม ดันดี ถูกส่งด้วยความยากลำบาก แต่ท้ายที่สุดก็ถึงมือคณะกรรมการสิทธิฯ

ผู้สื่อข่าวสอบถามไปยัง น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ผู้รับเรื่องร้องเรียนของทอม ดันดี น.พ.นิรันดร์ให้สัมภาษณ์ว่าได้รับเรื่องดังกล่าวแล้ว กรณีที่ผู้ต้องหาต้องการให้กรรมการสิทธิฯ เป็นผู้เสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ และศาลปกครองว่าการส่งพลเรือนขึ้นศาลทหารเป็นการละเมิดสิทธินั้น ปัจจุบันนี้กรรมการสิทธิฯ ไม่มีอำนาจดังกล่าวแล้ว เนื่องจากรัฐธรรมนูญ 2550 ถูกยกเลิก อำนาจในการส่งเรื่องยังศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ หรือกระทั่งการฟ้องแทนผู้เสียหายจึงหมดไป อย่างไรก็ตาม ข้อร้องเรียนการละเมิดสิทธิต่างๆ ซึ่งได้รับเรื่องไว้ราว 30 คำร้องนั้น ทางคณะกรรมการสิทธิฯ ได้เข้าไปตรวจสอบและเตรียมเขียนร่างรายงานนำเสนอในประเด็นต่างๆ เป็นข้อเสนอเชิงนโยบายต่อ คสช.และนายกรัฐมนตรี ให้พิจารณาเรื่องการยุติการใช้กฎอัยการศึก การให้พลเรือนขึ้นศาลทหาร การบังคับใช้คำสั่ง คสช.บางส่วนที่อาจทำให้การคุ้มครองสิทธิของประชาชนบกพร่องไป

000000

33 เรือนจำพิเศษกรุงเทพ แดน 1

ถ.งามวงศ์วาน ลาดยาว จตุจักร

กรุงเทพ 10900

วันที่ 8 ธันวาคม 2557

เรื่อง ร้องเรียนการละเมิดสิทธิมนุษยชน

เรียน นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ คณะกรรมการสิทธิมนุษยนแห่งชาติ

ประธานคณะอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง


ข้าพเจ้านายธานัท ธนวัชรนนท์ หรือ ทอม ดันดี อายุ 56 ปี อาชีพศิลปินนักร้องและนักแสดงภาพยนตร์ ถูกกล่าวหาว่าร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา โดยทหารเข้าจับกุมครั้งแรก เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2557 ตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติในข้อหาไม่ไปรายงานตัว เข้าจับกุมที่สามแยกป้อมตำรวจวังจันทร์ อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ในขณะที่กำลังเดินทางเอาพืชผลทางการเกษตรที่บ้านได้ปลูกไว้คือ หน่อไม้ ไปส่งให้ลูกค้าเวลาประมาณ 17.00 น.และในวันที่ 10 มิถุนายน 2557 ได้มีการเข้าตรวจค้นบ้านพักภายในจังหวัดเพชรบุรี ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ และถูกคุมขังในค่ายทหาร 3 วัน กองปราบปราม 2 วัน และที่เรือจำพิเศษ 4 วัน ได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2557 มีเงื่อนไขเป็นข้อตกลงห้ามแสดงความคิดเห็นและเข้าร่วมการชุมนุมทางการเมือง ฯลฯ

ต่อมาในวันที่ 9 ก.ค.2557 ทางทหารได้เข้าจับกุมตัวเป็นครั้งที่สอง มีการเข้าค้นภายในบ้านพักที่จังหวัดเพชรบุรี และส่งตัวเข้ามาคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฏาคม 2557

การกล่าวหาตามมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา โดยคำสั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง ขัดต่อหลักนิติรัฐและหลักกฎหมายโดยสิ้นเชิง จึงจะขอร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ดังต่อไปนี้

การรัฐประหาร เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย เป็นการได้อำนาจการปกครองประเทศโดยวิธีการมิได้เป็นไปตามวิถีทางรัฐธรรมนูญ เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายอาญา และละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยสิ้นเชิง ดังนั้น คำสั่ง คสช.ในการจับกุมข้าพเจ้า และคนอื่นๆ จำนวนมาก จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย

การนำคดีของข้าพเจ้าเข้าสู่การพิจารณาของศาลทหาร โดยที่ศาลทหารขึ้นอยู่กับกระทรวงกลาโหม จึงไม่เป็นอิสระและไม่เป็นกลางในการอำนวยความยุติธรรม อีกทั้งไม่มีกระบวนการพิจารณาคดีเป็นไปตามหลักกฎหมาย ทำให้ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้รับสิทธและเสรีภาพในด้านต่างๆ อาทิ เช่น การจับกุมโดยไม่มีหมายจับ และมีการข่มขู่ ทรมาน ระหว่าการไต่สวน การคุมขังเกินกว่าระยะเวาที่กำหนดในกฎหมาย เช่น ฝากขังเกิน 84 วัน ส่งฟ้องลับหลังจำเลย และไต่สวนโดยไม่เปิดเผย ฯลฯ

ข้าพเจ้าไม่ได้รับสิทธิการประกันตัว หรือการปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างการต่อสู้คดี โดยปราศจากเหตุผล เช่น อ้างว่ากลัวหลบหนีโดยไม่มีการไต่สวน หรือไม่มีประจักษ์พยาน ทำให้ไม่มีสิทธิเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมโดยง่าย สะดวก รวดเร็ว และทั่วถึง ไม่มีหลักประกันการพิจารณาคดีอย่างเปิดเผย ไม่ได้รับทราบข้อเท็จจริง ไม่ได้ตรวจเอกสารและการโต้แย้งคดีอย่างเพียงพอ

การไม่ได้รับสิทธิการประกันตัวจึงเป็นเสมือนการมัดมือชกและเป็นการดำเนินคดีที่ไม่เป็นธรรม

การนำพลเรือนไปสู่การพิจารณาของศาลทหารเป็นการเลือกปฏิบัติ ก่อให้เกิดความแตกต่างอันเป็นการขัดต่อหลักความเสมอภาค เท่าเทียมทางกฎหมาย อาทิ เช่น คดีมาตรา 112 ที่กระทำการก่อนรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 บางกรณีนำไปสู่ศาลอาญาตามปกติ แต่ในกรณีของข้าพเจ้ากลับนำมาสู่การพิจารณาของศาลทหาร

การจับกุมคุมขังทำให้ข้าพเจ้าสูญเสียอิสรภาพ ได้รับความทุกข์ทรมานและเดือดร้อนแสนสาหัส สูญเสียรายได้จากการ้องเพลงและการแสดง เดือนละ 3-4 แสนบาท ครอบครัวยากลำบาก มีหนี้สินมากมายจากการกระทำของคณะรัฐประหาร

จากที่ได้กล่าวไว้แล้ว 4 ประการข้างต้น ข้าพเจ้าจึงขอร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 5 ประการ ดังนี้

1. ให้พิจารณาในกรณีการจับกุมคุมขังข้าพเจ้าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และไม่เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศ

2. นำเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ กรณีเห็นชอบตามผู้ร้องเรียน กรณีคำสั่ง คสช. ไม่ชอบด้วยสิทธิมนุษยชนและรัฐธรรมนูญ

3. เสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลปกครอง กรณีเห็นชอบตามผู้ร้องเรียนว่า คำสั่งและการพิจารณาคดีในศาลทหารเป็นคำสั่งทางการปกครอง กระทบต่อสิทธิมนุษยชน

4. ฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมแทนข้าพเจ้า ซึ่งเป็นผู้เสียหายทั้งทางแพ่งและทางอาญา เป็นการปกป้องสิทธิมนุษยชน

5. จัดหาทนายความดำเนินการ เพื่อให้มีการประกันตัวหรือการปล่อยตัวชั่วคราว

จึงเรียนมาเพื่อโปรดดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงเป็นการเร่งด่วน เป็นการปกป้องสิทธิมนุษยชนของพลเมือง ตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนและขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง มา ณ โอกาสนี้ด้วย

ขอแสดงความนับถือเป็นอย่างสูง

นายธานัท ธนวัชรนนท์ (ทอม ดันดี)