วันอาทิตย์, ธันวาคม 21, 2557

'ในหลวง'พระราชทานกำลังใจ ช้างศึกสู้ยิบตาซิวแชมป์




'ในหลวง'พระราชทานกำลังใจช้างศึกสู้ยิบตาซิวแชมป์

ที่มา คมชัดลึก

ราชเลขาฯโทรหาซิโก้เผย 'ในหลวง' พระราชทานกำลังใจ หลังช้างศึกตาม 2-0 ในครึ่งแรก ก่อนฮึดยิงกู้ 2 เม็ด ยุติ 12 ปีที่รอคอย คว้าแชมป์ ซูซูกิคัพ สกอร์รวมชนะ 4-3

20 ธ.ค. 57 นายยิ่งรัก รักษ์สุวรรณ และนายวันชัย ไกรศรขจิต ผู้สื่อข่าวและช่างภาพ “คมชัดลึก” รายงานการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน หรือ “เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2014” รอบชิงชนะเลิศ นัดที่ 2 จากสนามกีฬาแห่งชาติบูกิต จาลีล ประเทศมาเลเซีย โดย “เสือเหลือง” มาเลเซีย เปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ “ช้างศึก” ไทย ซึ่งเกมแรกนักเตะไทยชนะมาก่อน 2-0

บรรยากาศที่สนามกีฬาแห่งชาติบูกิต จาลิล เต็มไปด้วยความคึกคัก แม้เกมจะเริ่มแข่งขันเวลา 20.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ที่เร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง แต่แฟนบอลเจ้าถิ่นหลายหมื่นคนเริ่มทยอยเข้าสู่สนามตั้งแต่ช่วงบ่าย ประกอบกับมีฝนตกลงมาทำให้การจราจรบริเวณรอบสนามติดขัดอย่างหนัก ขณะที่แฟนบอลไทยตามมาเชียร์ราว 1,000 กว่าคน

เกมนี้ทีมชาติไทยส่งผู้เล่น 11 คนแรกลงสนาม ประกอบด้วย ผู้รักษาประตู กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ คู่เซ็นเตอร์แบ็ก ธนบูรณ์ เกษารัตน์ กับ สุทธินันท์ พุกหอม แบ็กซ้าย พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา แบ็กขวา นฤบดินทร์ วีรวัฒน์โนดม กองกลาง สารัช อยู่เย็น ชาริล ชัปปุยส์ และ เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ กองหน้า ประกิต ดีพร้อม ชนาธิป สรงกระสินธ์ และ อดิศักดิ์ ไกรษร เป็นกองหน้าตัวเป้า

ด้าน “เสือเหลือง” ที่อยู่ในสถานการณ์หลังชนฝาต้องยิงไทยให้ได้ตั้งแต่ 2 ประตูขึ้นไปจัดทัพใหญ่ลงลุย โดย ดอลลาห์ ซาเลห์ กุนซือของทีม เปลี่ยนผู้เล่นจากนัดแรกแค่ตำแหน่งเดียว โมฮัมหมัด อาฟิฟ บิน อัมรุดดิน ลงมายืนเซ็นเตอร์แบ็กคุมแนวรับ ส่วนแนวรุกมี อินดรา ปุตรา กองหน้าตัวเก๋าเป็นทีเด็ด ส่วนบรรยากาศในสนามมีแฟนบอลเข้ามาเต็มความจุของสนามกว่า 8 หมื่นคน

เริ่มเกมเล่นมาทั้งสองทีมเดินหน้าบุกใส่กันทันที และเพียงแค่ 5 นาที “เสือเหลือง” ก็ได้ฮึดเมื่อ สุทธินันท์ ไปเบียดแย่งบอลกับ นอร์ชารุล อิดลาน บิน ตาลาฮา ล้มในเขตโทษทั้งคู่ แต่ผู้ตัดสินชาวอิหร่านดันเป่าให้เจ้าบ้านได้จุดโทษหน้าตาเฉย ก่อน ซาฟิก บิน ราฮิม รับหน้าที่เพชฌฆาตซัดเรียดเสียบตาข่ายเป็นประตูให้มาเลเซียออกนำ 1-0 และสกอร์รวม 2 นัดไล่มา 1-2 แบบกองเชียร์เฮสนามแทบแตก

เอาบอลมาเขี่ยเล่นใหม่ ทีมไทยยังไม่เสียกระบวนตั้งเกมบุกต่อ นาที 12 พีระพัฒน์ ลองซัดจากนอกกรอบเขตโทษบอลหลุดกรอบแบบมีเสียว นาทีถัดมา “เสือเหลือง” เปลี่ยนตัวคนแรกส่ง โมฮัมหมัด ซาฟี บิน ซาลี ศูนย์หน้าตัวทีเด็ดอีกคนลงไปแทน อาซามมุดดิน บิน โมฮัมหมัด อาคิล ที่เจ็บ นาที 20 โมฮัมหมัด ชูคอร์ บิน เอดาน กัปตันทีมเจ้าบ้านโดนใบเหลืองคนแรกหลังไปสอย ชาริล

เกมเล่นมานาที 27 โมฮัมหมัด อัมรี บิน ยาห์ยาห์ ไปเตะ เกริกฤทธิ์ จนคว่ำโดนใบเหลืองเป็นคนที่ 2 ของเกม ถัดไปนาที 32 อินดรา ปุตรา โดนใบเหลืองไปอีกคนหลังไปนอกเกมใส่ ชาริล ตรงกลางสนาม นาที 32 ไทยพลาดได้ประตูตีเสมออย่างน่าเสียดาย ชนาธิปเบิ้ลบอลออกฝั่งขวาให้ นฤบดินทร์ ควบไปเอาบอลแล้วผ่านมาเสาสองให้ เกริกฤทธิ์ วิ่งเข้าแปโล่งๆ หลุดกรอบเหลือเชื่อ

แฟนบอลกว่า 8 หมื่นคนในสนามยังลุ้นแบบนั่งไม่ติดเบาะ นาที 39 “เสือเหลือง” หวิดได้เฮอีกจากจังหวะที่ โมฮัมหมัด ซาฟี บิน โมฮัมหมัด ซาลี กลับตัวยิงในระยะเผาขน บอลชนแผงหลังไทยแล้วปลิ้นไหลหลุดกรอบออกหลังไปนิดเดียว ช่วงทดเวลานาที 47 อินดรา ปุตรา ได้โหม่งที่เสาสองให้มาเลเซียนำห่าง 2-0 พร้อมตีเสมอในสกอร์รวม 2 นัด 2-2 ก่อนผู้ตัดสินเป่านกหวีดหมดครึ่งเวลาแรกทันที


แก้เกมลงมาใหม่ครึ่งหลังไทยยังไม่มีการเปลี่ยนตัวผู้เล่น นาที 48 เกริกฤทธิ์ ได้บอลหลุดเข้าไปยิง แต่ติดกองหลังเจ้าถิ่นออกหลังอย่างน่าเสียดาย นาที 57 มาเลเซียได้ฟรีคิก 20 หลาหน้ากรอบเขตโทษ ซาฟิก บิน ราฮิม ปั่นไซด์อ้อมกำแพงส่งบอลเสียบตาข่ายเป็นประตูให้ “เสือเหลือง” นำห่าง 3-0 พร้อมกับพลิกขึ้นนำด้วยสกอร์รวม 3-2

เอาบอลมาเขี่ยเล่นใหม่นาที 63 ไทยแก้เกมคนแรกส่ง ศราวุฒิ มาสุข ลงไปแทน ประกิต แต่เกมของไทยยังไม่ดีขึ้นมากนัก นาที 69 มาเลเซียเปลี่ยนตัวคนที่ 2 ส่ง โมฮัมหมัด มุสลิม บิน โมฮัมหมัด ลงไปแทน โมฮัมหมัด อาฟิฟ บิน อัมรุดดิน ก่อนจะทิ้งไพ่ใบสุดท้ายให้ เกรี สเตเวน รอบแบต ลงไปแทน อินดรา ปุตรา กองหน้ารุ่นเก๋าที่เจ็บ

เข้าสู่ช่วง 15 นาทีสุดท้ายไทยพยายามลุยแหลก นาที 80 ไทยได้ฟรีคิก 20 หลาหน้าเขตโทษ สารัช ปั่นข้ามกำแพงไปติดเซฟนายประตูเจ้าถิ่นที่พุ่งปัด แต่ลูกกระเด้งไปเข้าทาง ชาริล ตามซ้ำไม่เหลือซาก ตีไข่แตกให้ไทยไล่มา 1-3 รวมสกอร์ 2 นัดเสมอ 3-3 แต่ไทยได้เปรียบกฎ “อะเวย์โกล” ยิงประตูทีมเยือนทำให้กองเชียร์เจ้าบ้านเงียบสนิททั้งสนามประหนึ่งป่าช้า

ช่วงเวลาที่เหลือนักเตะเจ้าบ้านพยายามลุยหนัก แต่นาที 87 ชนาธิป พาบอลเข้าไปซัดเต็มเท้าส่งลูกพุ่งตุงตาข่ายเป็นประตูให้ไทยไล่มา 2-3 พร้อมแซงขึ้นนำในสกอร์รวม 4-3 หลังจากนั้นไทยเปลี่ยนตัวส่ง อดุล หละโสะ มิดฟิลด์ตัวรับลงมาปิดเกมแทน เกริกฤทธิ์ แต่เวลาที่เหลือก็ไม่มีสกอร์เพิ่ม จบเกมไทยแพ้ 2-3 แต่สกอร์รวม 2 นัดชนะ 4-3 คว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ

ทีมชาติไทยกลับมาคว้าแชมป์อาเซียนเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี หลังจากได้แชมป์ครั้งล่าสุดเมื่อปี 2002 พร้อมทำสถิติซิวแชมป์เป็นสมัยที่ 4 สูงสุดเท่ากับ สิงคโปร์ โดยนักเตะทีมชาติไทยจะได้รับเงินอัดฉีดจาก สมาคมฟุตบอล และเงินรางวัลรวมเป็นเงินทั้งหมด 25 ล้านบาท


หลังจบเกม “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เปิดเผยว่า แม้เราจะโดนนำ 3-0 แต่ยังเชื่อว่าเราจะยิงได้ ต้องขอบคุณนักเตะทุกคนที่มีสมาธิและกลับมาสู่เกมได้สำเร็จ รู้สึกดีใจและตื่นเต้นมาก ขอบคุณนักฟุตบอลทุกคน

“ซิโก้” กล่าวเพิ่มเติมในห้องแถลงข่าวว่า เราทำงานหนักมา 2 ปี ต้องขอบคุณคนไทยที่ตามเชียร์ ทั้งที่สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และที่เมืองไทย ตอนนี้เราประกาศศักดาเป็นแชมป์อาเซียนทั้งซีเกมส์และซูซูกิคัพ เป้าหมายต่อไปคือ การพาทีมเยาวชนอายุไม่เกิน 17 ปีไทยไปเยาวชนโลก โอลิมปิก รอบสุดท้าย และป้องกันแชมป์ซีเกมส์

“12 ปีที่รอคอย การเป็นนักเตะและผู้ฝึกสอนอยู่ในสถานะที่ต่างการ เราทำสำเร็จก็ภาคภูมิใจ แต่แชมป์อาเซียนไม่เพียงพอต่อคนไทยแล้ว เราต้องมองไปไกลถึงระดับเอเชีย ซึ่งนักเตะชุดนี้ต้องยอมรับว่าดีกว่าสมัยดรีมทีมที่ผมเล่นอยู่ สมัยดรีมทีมมีความฟิต วิ่งสู้ฟัด แต่นักเตะชุดนี้มีครบทุกอย่าง” ซิโก้ กล่าว


กุนซือทีมชาติไทยเปิดเผยอีกว่า เกมวันนี้ต้องถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อทีมฟุตบอลไทยอย่างหาที่สุดมิได้ ในช่วงพักครึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีรับสั่งให้ราชเลขานุการในพระองค์ โทรศัพท์มา โดยพระราชทานกำลังใจแก่นักเตะและให้เล่นอย่างเต็มที่ โดยมีผู้จัดการทีม เกษม จริยวัฒน์วงศ์ เป็นผู้รับสาย ก่อนที่นักเตะจะลงไปสู้ต่อในครึ่งหลัง

ขณะที่ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ที่คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ กล่าวทั้งน้ำตาว่า เราอยู่ถ้ำเสือแต่เราเป็นช้าง เรามีงาที่เอาชนะเสือได้ ขอบคุณเพื่อนๆ ขอบคุณแฟนบอลชาวไทยที่ตามเชียร์ ส่วนเงินรางวัล 3 แสนบาท จากรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมจะนำมาหารแบ่งเพื่อนทั้งทีมแน่นอน เพราะรางวัลนี้คงไม่ได้เกิดจากตัวคนเดียวแต่เกิดจากทุกคน ขอบคุณผู้จัดการทีม ขอบคุณโค้ชที่ให้โอกาสจนมาถึงวันนี้

สำหรับทีมชาติไทยจะเดินทางกลับถึงสนามบินดอนเมืองวันที่ 21 ธันวาคมนี้ ด้วยสายการบินแอร์เอเชีย เที่ยวบินที่ เอฟดี 320 ในเวลา 15.00 น.