วันศุกร์, กันยายน 05, 2557

"ยกฟ้องคดีเผา" ปิดฉากวาทะกรรมลวงโลก "เผาบ้านเผาเมือง" !!


"ยกฟ้องคดีเผา" ปิดฉากวาทะกรรมลวงโลก "เผาบ้านเผาเมือง" !!

"เผาบ้านเผาเมือง" เป็นวาทะกรรมที่ใช้กล่าวหาคนเสื้อแดงมานาน เป็นการกล่าวหาลอยๆของคนกลุ่มหนึ่งโดยไร้หลักฐานที่ชัดเจน เป็นการกล่าวหาที่หวังผลทางการเมือง เพื่อทำลายฝ่ายตรง อย่างไร้ความเป็นธรรม

โดยวันนี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้อง 2ผู้ต้องหา นปช.พ้นผิดคดีเผาเซ็นทรัลเวิลด์

ซึ่งนั่นหมายความว่า "วาทะกรรม เผาบ้านเผาเมือง" ที่ใช้กล่าวหากันกันมาโดยตลอดนั้น เป็นเพียง "วาทะกรรมโฆษณาชวนเชื่อที่ลวงโลก" ซึ่งก็ไม่ต่างจากวาทะกรรม "ปรีดีฆ่าในหลวง" เมื่อช่วงปี พ.ศ.2490 ที่เคยใช้ทำลายศัตรูทางการเมืองอย่าง "นายปรีดี พนมยงค์"

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ :: http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRRd09UZ3dOekExTWc9PQ%3D%3D




.....

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ยกฟ้อง2นปช.พ้นผิดคดีเผาเซ็นทรัลเวิลด์


ที่มา ข่าวสดออนไลน์

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 4 ก.ย. ที่ห้องพิจารณาคดี 405 ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีวางเพลิงเผาศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ตามที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสายชล แพบัว อายุ 32 ปี และนายพินิจ จันทร์ณรงค์ อายุ 30 ปี ผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ โรงเรือน โดยคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกฟ้องจำเลยทั้ง 2 เนื่องจากพยานโจทก์ตอบคำถามไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้วางเพลิง จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสอง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังศาลอ่านคำพิพากษาแล้วเสร็จ นายสายชล แพบัว ถึงกับร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ ขณะที่นายพินิจ จันทร์ณรงค์ กล่าวว่า ดีใจมากที่พ้นข้อกล่าวหาดังกล่าวและอยากขอบคุณศาลที่เมตตาให้ความยุติธรรม

นายวิญญัติชาติมนตรี ทนายความจำเลย กล่าวว่า ศาลมองว่าในส่วนของจำเลยที่ 1 พยานโจทก์ต้องมีพยานมาเบิกความสนับสนุนว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนกลุ่มเดียวกับกลุ่มคนที่เข้ามาวางเพลิง และมีพฤติการณ์ที่ต่อเนื่องไปจนถึงการปาระเบิด ขณะที่อากัปกิริยาของจำเลยที่ 1 ที่ว่ากระทำการวางเพลิงเผาทรัพย์นั้น โจทก์ไม่มีพยานมายืนยันสนับสนุน แค่เห็นว่าเป็นการวางเพลิง และพยายามเชื่อมโยงกับกลุ่มที่มีอาวุธปืน เนื่องจากถังดับเพลิงที่จำเลยที่ 1 ถือนั้น ไม่ได้นำไปใช้ก่อเหตุวางเพลิง อีกทั้งพยานโจทก์ทุกปากไม่ยืนยันว่าเห็นจำเลยที่ 1 อยู่ในขณะเกิดเหตุวางเพลิง พยานทั้งหมดของโจทก์จึงมีน้ำหนักน้อยมาก

นายวิญญัติกล่าวต่อว่า ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นผู้วางเพลิงแล้ว การสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกันวางเพลิงนั้น อัยการไม่สามารถสืบให้เชื่อมโยงกันได้ จึงไม่สามารถรับฟังว่าทั้งสองเป็นผู้วางเพลิงได้

ทนายความจำเลย กล่าวต่อว่า ส่วนจะฎีกาเรื่องนี้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับอัยการว่าจะพิจารณาหรือไม่ แต่โดยหลักแล้วคดีที่ยกฟ้อง 2 ศาลต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง รวมทั้งข้อกฎหมายก็ห้ามเหมือนกัน มีทางเดียวที่อัยการจะฎีกาได้คือขอให้ผู้พิพากษาที่มีความเห็นแย้งในคดีนี้รับรองให้ฎีกา